วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เติมความสุขของชุมชน บนวิถี...ถนนคนเดิน

เศรษฐกิจเป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นระดับใด ถนนคนเดินเป็นเสมือนดัชนีชีวัดความสุข ความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน และความพร้อมในการเปิดพื้นที่การค้าบนท้องถนนที่จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า บริการ และสถานที่
   

นับตั้งแต่มีคำว่าถนนคนเดินเกิดขึ้นมาเกือบ 10 ปี ซึ่งจริงแล้วผมคาดว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะเราเองก็มีวัฒนธรรมการค้าการขาย ไม่บนถนนก็ทางน้ำมาช้านานแล้ว ทั้งในส่วนของการเปิดกาดนัด (ตลาดนัด) กาดงัว กาดโก้งโค้ง กาดมั่วคัวแลง ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ขายบนสวนหย่อม หรือในตลาดเช่นปัจจุบันแต่เป็นวิถีของการค้าการขายบนท้องถนนนี่แล หากนับกาดงัวเป็นจุดเริ่มต้น(ตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายวัว) ถนนที่เต็มไปด้วยการค้าสัตว์ทั้งมีชีวิต และแปรรูป คนที่สนใจก็ตามมา หาการการกินที่จะต้องให้คนที่มาซื้อขายก็จะนำมาวางขายแก้หิวนอกจากคนซื้อแล้วผู้ติดตามที่ไม่อยากดูงัว ก็มีสินค้า บริการ หรือศิลปะการแสดงอื่นๆให้ได้ชม และเชื่อว่านี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของกาด หรือตลาดในบริบทต่างๆ จนยกระดับสู่การเป็นตลาดที่เป็นหลักแหล่ง ถูกสุขลักษณะเช่นปัจจุบัน


ลำพูนเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่มีอายุของถนนคนเดินน่าจะเกือบ 10 ปีสำหรับการจัดกิจกรรมถนนคนเดินด้วยแนวคิดของการสร้างพื้นที่การค้าชุมชน ให้คนในพื้นที่ได้มีพื้นที่ค้าขายศิลปหัตถกรรม อาหาร พืชผักที่หาได้ ปลูกได้ในพื้นที่ ตลอดจนดึงนึกท่องเที่ยวหรือเป็นแหล่งพักผ่อนของคนในพื้นที่เอง นิยามของถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน นายกสุเทพ (อดีตนายกเมืองแม่ฮ่องสอน)ให้เกียรติเล่าให้ผมฟังว่า ด้วยความที่แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองเล็กๆกลางคืนไม่ค่อยมีพื้นที่ในการท่องเที่ยวจึงจัดให้มีถนนคนเดินเปิดทุกวัน ถึงแม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆแต่ก็อุดมไปด้วยคนตลอดเวลา ที่ลำปาง(กาดกองต้า)เป็นถนนคนเดินที่ผมถือว่ายาวที่สุด เพราะอาศัยพื้นที่ถนนที่ติดลำน้ำวังเลียบตรอกเหล่าโจ(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นพื้นที่ของการค้าการขายในอดีต บ้านบริเวณริมน้ำมักมีสถาปัตย์กรรมที่เป็นกึ่งพม่า ยุโรป จีน ปะปนกันไปหมดแสดงให้เห็นถึงความเจริญเติบโตของคนในอดีต ปัจจุบันทุกวันเสาร์จะมีการเดินขวักไขว่และสร้างพื้นที่ค้าขายให้คนในพื้นที่ได้มากทีเดียว


ที่ผ่านมาพัฒนาการของถนนคนเดินเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นเมืองเล็กเมืองใหญ่ต่างหวังจะให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ ถนนคนเดิน เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นนอกจากการจัดงานนิทรรศการ หรืองานประจำปีที่เกิดขึ้นแต่แน่นอนว่าเหรียญย่อมมีสองด้าน สิ่งที่กระทบต่อคนในวิถีชีวิตของคนพื้นที่ ชุมชน สังคม เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญจากข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายกลุ่มชี้ให้เห็นถึงปัญหาเดียวกันที่เกิดขึ้นจากถนนคนเดินนั่นคือการเป็นพี้นที่ค้าขายเสมือนหนึ่งตลาดนัดที่ขาดเสน่ห์และทำให้คนในพื้นที่ไม่ได้ประโยชน์จากการค้าขายสินค้าอย่างแท้จริง สภาพความแออัดของพื้นที่เมื่อจัดงานทำให้เกิดผลกระทบต่อสิงแวดล้อมขยะ การจัดการบางพื้นที่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี ทำให้เกิดปัญหาตามมา การเกิดมาเฟียในการต่อรองพื้นที่ค้าขายจนกลายเป็นเม็ดเงินมหาศาลของคนกลุ่มเล็ก ๆ และที่สำคัญคือการทำให้เกิดแหล่งนัดพบของคนหนุ่มคนสาวที่จะได้ออกบ้านพบปะเดินจับไม้จูงมือและหายไปจากพื้นที่สาธารณะและอาจทำให้เกิดปัญหาด้านชู้สาวตามมา

ถนนคนเดิน เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นพื้นใดก็ตาม แต่การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ กับการพัฒนาสังคมควรควบคู่กันไปหากเน้นด้านใดด้านหนึ่ง และละเลยด้านใดด้านหนึ่งสุดท้ายก็ไม่อาจทำให้ชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่สมเจตนาเบื้องต้นที่อยากให้เกิดพื้นที่ทำกินอย่างธรรมชาติได้

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจชาติไทย (Part 2) : รูปธรรมของความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม

ตัวอย่างหนึ่งของการสร้างสังคมที่กดทับปัญหา และรัฐส่วนกลางเองก็ไม่อาจสะสางปัญหาเหล่านี้ได้จนสุดท้ายหมักหมมสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจการจัดการ จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและนี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ในชาติบ้านเมืองของเรา


หลายท่านอาจได้เห็นข่าวนี้กันแล้วผมเองก็จะจำที่มาที่ไปไม่ได้ แต่สาเหตุหลักของการถูกจำคุกคือการบุกรุกพื้นที่ของป่าสงวน พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่กินจากรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อกรม กระทรวง หน่วยงานเข้าครอบครอง (หากเขียนให้ดูดีหน่อยคือเข้าดูแล) จริงอยู่ว่าพื้นที่เหล้านี้คือพื้นที่ของสาธารณะ  แต่คนโดยรอบเขาก็ใช้ประโชน์จากพื้นที่มาก่อนเขาอยู่เขากินเขาดูแลรักษาจนนายทุนเข้าบุกรุก กระทั้่งหน่วยงานทั้งหลายเข้ามา ถามว่ากติกาสังคมที่เอามาครอบประชาชนเหมาะสมหรือไม่ คำตอบก็ถือเหมาะสมตามยุคนั้นๆ  แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน กฎหมายกลับไม่พัฒนาตัวมันเอง และท้ายที่สุดก็สร้างปัญหามากกว่ารักษาผลประโยชน์ของมหาชน ตามลักษณะที่มันพึ่งจะเป็น 

ในบ้านเราเมืองเรามีความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมอยู่มากมาย ที่ชัดเจนที่สุดคือระบบภาษี นับตั้งแต่สมัยที่มีปฏิวัติประชาชนแต่ไม่สำเร็จเมืองแพร่(กบฏผีบุญ) เชียงใหม่(กบฎผญาผาบ) ผมไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการแข็งข้อแต่อย่างใด เพียงแต่นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ปัญหาจากการรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดจากส่วนกลาง ปล่อยให้คนที่อยู่ห่างไกลนับพันกิโล มาหลับตาและคิดว่าเราควรจะเป็นอะไรควรจะทำอะไร โดยไม่อยู่บนพื้นที่ของวิถีชีวิต 

ในภาคประชาสังคมลำพูนย้อนไปปีเกือบ ยี่สิบปี มีการตื่นตัวตั้งแต่มีนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาอนุญาตโดยรัฐ แล้วประชาชนได้อะไรเบื้องต้นคิดว่าคาดว่าเราจะเป็นแหล่งเศรษฐกิจ เป็นแหล่งทำมาหากินของคนลำพูน แต่ปัจจุบันนี้เล่า(2556) กลายเป็นพื้นที่ทำกินของคนต่างถิ่น ประชากรแฝงเข้ามาอยู่อาศัยและทำให้ปัญหาที่ยากต่อการแก้ไขเกิดขึ้นมากมาย ปัจจุบันท้องถิ่นของบ้านกลางเป็นลักษณะของเทศบาลตำบล ซึ่งแน่นอนว่าได้รับภาษีจากโรงงานเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะจัดการกับสภาพปัญหาที่เกิดจากประชากรที่มีอยู่ได้เพราะคนที่มาทำงานไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำงานในโรงงานเดียว มีการผ่องถ่ายมีการเคลื่อนของคน ทำให้ปัญหาทั้งด้านของสิ่งแวดล้อม สังคม ปัญญาอื่นๆตามมา และตามแก้กันแถบไม่ไหว สุดท้ายประชาชนคนพื้นที่ คนลำพูนได้อะไร ???? 


ปัญหาโครงสร้างที่กดทับคนในภูมิภาค คนในท้องถิ่น(หมายรวมถึงคนภูธรไม่ใช่คนที่อยู่ใน อบต. เทศบาล) เป็นปัญหาที่หมักหมมคนที่อยู่ในพื้นที่ทำกินเดิมกลับใช้พื้นที่นั้นเพื่อการดำรงชีพไม่ได้ ทั้งๆที่คนดอยอยู่กับป่า คนเลอยู่กับน้ำ แต่กลับต้องขออนุญาตคนที่อยู่ศูนย์กลาง หน่วยงานกลางๆ ที่ไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ในการให้สิทธในการอนุญาตทุกสิ่งอย่าง ทั้งการพัฒนา และการแก้ปัญหา เมื่อหมักหมมมากข้าวปลูกภาคกลางขายเองไม่ได้ ซื้อเองไม่ได้รัฐแซกแซงกลไกการค้ามากเข้ากลายเป็นสิ่งเสพติดที่ต้องปล่อยให้เสพเรื่อยๆแก้ไม่ได้ ไหนจะนโยบายประชานิยม คือสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือสิทธิที่ชาวบ้านพึงเรียกร้องมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความต้องการทางตรงแต่กลับถูกผูกขาดจากลุ่มการเมือง แต่หากวันนี้การกลับปัญญาเดิมทำให้เกิดการกระจายอำนาจลงสู่อยู่ในพื้นที่ท้องถิ่น มวลมหาจราจลที่เกิดขึ้นในกลางกรุงก็จะได้ยุติและไปต่อสู้กันในพื้นที่ สู้กันด้วยเหตุด้วยผลด้วยข้อมูลประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดมีความเข้าใจมากขึ้นและน้อยนักที่จะใช้กำลังเพราะสุดท้ายแล้วนอกจะเจ็บทั้งสองฝ่าย ก็ไม่สร้างประโยชน์ใดให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะหากเชื่อและยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยต้องกระจายอำนาจเพราะนี่คือพัฒนาการอีกขั้นของประชาธิปไตย เป็นการพิสูจน์ความเข้มแข้งของประชาชนอย่างแท้จริงหากเขาสู้เขาสู้เพื่อจังหวัดของเขา ไม่ใช่การถูกหลอกให้มาเป็นมวลชนนอนกลางถนนเช่นนี้

การปฏิรูปโครงสร้างถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะมีการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอำนาจส่วนกลางมากในการกระจายความกระจุก จะให้รวยกระจาย ในพื้นที่ซึ่งพวกเขาจะคายหรือ พวกเขาจะยอมหรือ แต่หากเรามองในภาพสังคมประชาชนอื่นๆที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ AEC หากเราไม่ปรับตัวให้ท้องถิ่นต้องรับกับปัญหาเองได้ ทุกสิ่งอย่างของปัญญาก็จะปะดังเข้ามาและรัฐ ฤ จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แทนที่รัฐจะทำให้ตัวเองเป็นเสมือนพี่ใหญ่เป็นผู้บริหารระดับประเทศไปวิ่งสร้างประโยชน์ในเวทีโลก ใช่คอยแก้ปัญหาใหญ่น้อยซึ่งนับวันก็แก้ไม่ได้ และทำให้ยุ่งยากขึ้นเรื่อยมา หรืออาจใช้อำนาจในมือเครียปัญหาใจระดับจังหวัดซึ่งรัฐย่อมมีอิทธิพลมากกว่าอยู่แล้วได้รับการยอมรับระดับชาติ เห็นโลกที่เป็นโลกทั้งใบ น้ำหนักย่อมมากกว่าและมีอิทธิพล มีความสง่างามกว่า ซึ่งนี่จะถูกปลดล๊อกหากปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ปฏิรูปประเทศไทย

4 ฐานปัญญาจริงแล้ว ฐานปัญญาหรือ ฐานอำนาจมีเพียง 2 สิ่งคือ ปัญหาการเมือง และ ปัญหาเศรษฐกิจ ผมเคยได้ฟังนักวิชาการท่านหนึ่งวิเคราะห์ให้เห็นภาพสังคมโลกและตีปัญหาใหญ่หรือฐานอำนาจใหญ่ของโลกอยู่ที่ 2 ฐานคือการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมมี การเมือง เศรษฐกิจ และทหาร สามขานี้เป็นขาสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการเมืองทุกสมัยแต่ปัจจุบันทหารมีความเข้าใจและเจ็บปวดในการปฏิวัติครั้งสุดท้ายเมื่อปี 49 และเข้าใจโลกมากขึ้นดังนั้น ฐานปัญหาอำนาจของชาติก็จะเหลือเพียงการเมืองที่ยังไม่ลงตัว ที่ยังต้องคิดต้องตัดสินใจเรื่องทั้งใหญ่ กลาง เล็ก หรือ เรื่องหยุมหยิม ณ รัฐสภาและฐานเศรษฐกิจที่กระจุกอยู่ในเพียงเขตพระนคร ในเขต กทม. คนพื้นที่เสียโอกาสได้ใช้ประโยชน์กลุ่มทุนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงพื้นที่ที่ตนตั้งอยู่ ที่ตนสร้างปัญหาเพราะกลไกทำให้ไม่จำเป็นต้องคุยกับคนพื้นที่เพราะได้สิทธิในการบริหารองค์กรและคุยกับส่วนกลาง ทำให้โรงงานและคนพื้นที่ขัดแย้งกัน ลามให้เกิดปัญหาสังคม คนในชุมชนท้องถิ่นหมดสิทธิ ไม่มีอำนาจแม้แต่การพูดคุยเจรจากับปัญหาตรงหน้าที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิในการพูดคุยกับโอกาสที่จะเข้าสู่ท้องถิ่นของตนแม้แต่จะคอยดู ขอดูรายละเอียดที่ควรจะเกิดขึ้นเช่นปัญหาจากความไม่เข้าใจในประเด็นบริหารจัดการน้ำของรัฐ  และสุดท้ายการศึกษาที่มุ่งเน้นผลิตคนเข้าสู่ภาคอุตสหกรรมที่อกหักเพราะนับวันตลาดแรงงานมีมากแต่การมุ่งเน้นผลิดคนนั้นไม่สอดรับยิ่งจบมามาก ยิ่งตกงานมากผลิตคนไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ราวกับแต่ละส่วนผลิตคนไปแต่ละทิศแต่ละทางท้ายที่สุดการศึกษากลับผลิตคนเพื่อผลิต?? ไม่ได้ผลิตคนคนเพื่อสังคม เพื่อชุมชนท้องถิ่น 

รูปภาพ : ขอไว้อาลัยให้กับ #มวลมหาประชาชน ที่กำลังมอบอำนาจในมือให้กับคนไม่กี่คนไปเสวยสุข เถลิงอำนาจกันเอง ไม่ต่างอะไรจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่าลืมว่าโลกหนุนไทยในฐานะประเทศประชาธิปไตย ถ้าเป็นแบบนี้ไม่มีใครคบค้าด้วย เศรษฐกิจเจ๊ง บริษัทปิด คนตกงานเพิ่ม แล้วจะเรียกร้องอำนาจคืนน่ะเหรอ เค้าจะให้รึเปล่าเมื่อถึงเวลานั้น เปลี่ยน deadline แล้วเปลี่ยนอีก ??

คิดว่าการคุยเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างยังติดค้างอีกหลายประเด็น ประเด็นสภาประชาชนผมยังไม่ได้เอ่ยถึงเลย ซึ่งผมเห็นโครงสร้างสภาประชาชนที่คุณเก๋ (Teerat Ratanasevi)นำขึ้นบนเฟสบุ๊คก็ตกใจว่าเราจะนำสภาประชาชน สภาพลเมืองไปในทิศทางที่ผิดหรือไม่ เพราะสภาประชาชนที่ประชาชนพูดไม่ใช่แบบนี้ เพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนต้องการสร้างพื้นที่ สร้างโอกาสในการพูดคุยกับภาครัฐ ราชการ ไม่ใช่พื้นที่ของฐานอำนาจ ซึ่งหลักคิดและน่าจะเรียกว่าเป็นต้นคิดที่ สภาพลเมืองเชียงใหม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้กำหนดนโยบาย ร่วมวางแผนออกแบบนโยบายสาธารณะ แต่ไม่มีอำนาจเหนืออำนาจเดิมในสังคม เสมือนการออกแบบพื้นที่ให้ประชาชนและเดินคู่ขนานกันแต่ไม่ใช่เพื่อหาประโยชน์หรือเป็นฐานทางการเมืองแก่ใคร 

แล้วค่อยเล่าสู่กันฟังอีกครั้งนะครับ

ปล.บทความเหล่านี้ผมตั้งใจสื่อสารให้แก่สังคม ประการหนึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ หรืองานพัฒนาที่ผมกำลังดำเนินอยู่ออกมาแบบให้ผมต้องทำงานด้านบทความ การสื่อสารผ่านอักษรมากกว่าและนี่จะเป็นประโยชน์เดียวที่ผมทั้งใจทำและทำให้ได้แก่สังคมนี้

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของชาติ (Part 1)

 

ช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปเริ่มเบ่งบานอีกครั้ง สภาพสังคมต้องประเมินกันเป็นรายวันว่านับจากนี้จะมีการกำหนดการก้าวเดินอย่างไร จะมีวิธีการในการสร้างกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างไร ทั้งจากกลุ่มวิชาการ กลุ่มกองทัพ กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มภาครัฐ ซึ่งทุกกลุ่มหวังใจอย่างยิ่งว่าจะมีเป้าหมายเดียวกันคือ มุ่งปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง 

การตั้งธงของการปฏิรูปโดยภาครัฐ ถือเป็นการเปิดเกมส์ที่ดีที่จะทำให้การยกเครื่องประเทศไทยเดินหน้าไปได้อย่างเป็นระบบ แม้จะถูกค่อนคอดว่าเพียงแค่ปฏิรูปการเมืองไม่พอ ต้องปฎิรูปประเทศ  ฝั่งแฟนคลับอาจบอกว่ารอก่อน รัฐทำแน่ ฝั่งแอนตี้ก็บอกว่า รัฐมองแคบทำแค่พวกพ้อง ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งในการปฏิรูป หรือการสื่อสาร  หลายครั้งที่เราสื่อสารบนสารที่อยากสื่อเราสื่อสารบนอารมณ์และที่สำคัญเรารับสารเฉพาะสารที่อยากฟังเท่านั้น สังเกตุจากสองกลุ่มความคิดทางการเมืองใหญ่ ที่เมื่อเข้าไปสัมผัสเขาก็จะพูดเรื่องของเขา ฟังเรื่องของเขาและเชื่อในส่วนที่เขาอยากเชื่อปิดกั้นในสิ่งที่เขาไม่อยากให้ได้ยิน ซึ่งนั่นไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยเลย แต่ก็เอาเถอะหนทางการปฏิรูปใช่จะโรยด้วยกลีกุหลาบต้องมีคนที่หลากหลายและใช้เวลาในการอธิบายเช่นกัน 

ถ้าเราคุยเรื่องการปฏิรูป แต่ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายที่สนใจน่าจะได้ลองค้นข้อมูลดูแล้ว่าอะไรคือการปฏิรูป เพราะมีหลายฐานข้อมูลเหลือเกินที่มีการสรุป วางแนวทางและเสนอต่อสังคม ไมว่าจะเป็น สามเหลี่ยมเขยื่อนภูเขา สภาพลเมือง(แห่งชาติ) การกระจายอำนาจ จังหวัดจัดการตนเอง การปรับฐานภาษี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ระบอบสุเทพเป็นผู้คิด เพราะลำพังท่านผู้นำมวลมหาประชาชน ฤ จะคิดได้  กระบวนการคิดเหล่านี้มีการถกแถลงกันนานมากแล้วไม่ตำกว่า 10 หรือ 20 ปีแน่นอนเพียงแต่ในระยะนี้หลายฝ่ายตื่นตัวกับการปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการเมือง และเท่าที่เห็นกลุ่มต่างๆที่เป็นต้นไม้แห่งปัญญาที่กระตุ้น สะกิดสังคมได้ให้ผลเป็นการตื่นที่ตัวที่มากขึ้น  เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนากลุ่มองค์กรทางวิชาการมากมายแต่สิ่งสำคัญที่แก้ไขปัญหาไม่ได้คือการไม่นำข้อคิดเหล่านั้นไปสู่การดำเนินการ

ไทยอาจเป็นประเทศที่แปลกที่สุดในประชาคมโลกเพราะจากจู่ๆที่จะฆ่ากัน กลับมากอดกัน และเมื่อเหมือนระฆังดังเท่านั้น ก็ย่างสามขุมเข้าใส่ มิหนะซ้ำจากประวัติการณ์ไม่มีประเทศใดเลยที่มีการประท้วงโดยประชาชนและรัฐจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ซึ่งก็คงมีแต่เรานี่กระมัง  แต่นั่นไม่ใช่สาระ สิ่งสำคัญคือนักเลือกตั้ง(ทั้งผู้ลง และผู้จัด)ต่างสนับสนุนกระบวนการเลือกตั้งว่าเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการพิสูจน์ประชาธิปไตย ต่ผมชักสงสัยว่าหากดีจริงทำไมทั้งโลกจึงวุ่นวายจากการจรจลเช่นไทยเรา ทั้งๆที่อารยะก็ต่างมาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น คำตอบหนึ่งอาจเป็นเพราะโครงสร้างที่กดทับเดิมเคยมีนักวิชาการให้ข้อสังเกตุว่าเดิมที ประชาธิปไตยแบบตัวแทนเหมาะสมสำหรับการปกครองในยุคก่อน แต่ด้วยสมัยนี้ความก้าวหน้าด้านต่างๆก้าวไกลมากบางทีเราอาจต้องถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าเราก็คงเป็นเช่นนั้น หากย้อนไปหลายร้อยปีฝรั่งเศสไม่คิดว่าระบบพลเมืองจะเรืองรุ่ง ทั้งโลกก็คงไม่มีประชาธิปไตย หากกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆในทวีปอเมริกาไม่คิดว่าเขาจะหลุดพ้นจากจักรวัตมีการปกครองในรูปแบบของตนเองได้ สหรัฐ ก็คงไม่เกิด วันนี้ไทยก็อาจกำลังก้าวเข้าสู่การพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง การเลือกตั้งอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดผู้ที่จะแทนเข้ามา แต่ผู้แทนปัจจุบันมีกฎหมายและฐานะทางสังคมที่มากล้นเหลือเกินและนี่คือสาเหตุที่ต้องมีการ"ถ่วงดุล"

การตั้งสภาประชาชน การตั้งสภาพลเมืองแห่งชาติ อาจไม่สำเร็จหากอยู่บนฐานเดิมคือการกระจุกอำนาจเพราะการบริหารปมของมันอยู่ที่ส่วนกลาง หากม๊อบสักล้านปิด กทม.ทุกอย่างเป็นอัมภาตแต่หากกระจายไป 77 จังหวัดจะต้องใช้ม๊อบกี่ล้านจึงจะทำได้ เหลือแค่คนไม่กี่พันเขาจะมีพลังเช่นนั้นหรือ และยิ่งไปกว่านั้นเป็นบ้านเขาจังหวัดเขา เขาจะทำไปทำไมการนั่งบนโต๊ะคุยในสิ่งที่เขาเรียกร้องเป็นสิ่งที่ดีกว่าสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่นี่ก็เป็นเพียงปมหนึ่งของปัญหาที่หมักหมมเอาไว้ การปฏิรูปประเทศไทยต้องทำไปพร้อมกันในหลายมิติ หากขมวดแนวทางปฏิรูปคงได้ 4 เรื่องใหญ่ และคิดว่ารัฐอาจมองในแนวทางการแก้ไปเป็นปม แต่อาจแก้ในปมทางการเมืองก่อนและเชื่อว่าเขาก็คิดถูก ก่อนจะไปแก้ที่คนอื่นต้องแก้ที่ตนเองก่อนนักการเมืองแก้ที่การเมือง ตอนนักพัฒนา(NGO)ทำงานก็แก้ที่สังคม โมเดลที่คิดว่าน่าจะทำผมเลยลำดับเป็น 4 ส่วนได้แก่ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผมเชื่อว่าขนาดของปัญหาทุกข้อล้วนครอบคลุ่ม

ในไม่ใช่รัฐจะเปิดพื้นที่เจรจา เหมือนจะทำตัวเป็นคนกลางหรือทำตัวเป็นเจ้าภาพคงต้องคอยดูกันแต่ผมเองเชื่อมันในระบบมากกว่าคน คนเป็นตัวละครสำคัญก็จริงอยู่แต่สิ่งสำคัญคือการวางบทบาท เหมือนละครที่ต้องเด่นบ้างด้อยบ้าง หากเด่นทั้งเรื่องเด่นกันทุกคน ภาพรวมจะออกมาดูดีได้อย่างไร การตัดสินใจของรัฐครัั้งนี้น่าจะส่งผลดีในอนาคตไม่ใช่สนับสนุนแนวคิดของรัฐเอาใจคนเสื้อสีหนึ่ง หรือเป็นปฏิปักต่อคนเสื้ออีกสีหนึ่งเพื่อหวังทำคะแนนหรือเอาหน้าเอาตา แต่สิ่งสำคัญคือบ้านนี้เมืองนี้ต้องเดินตามกติกา การคิดนอกกรอบย่อมทำได้แต่ต้องคิดบนกลไกที่เป็นจริง การเพ้อฝันไม่ได้ช่วยอะไรต้องมองในต้นทุนที่เรามี มองในกฎหมายมองในระเบียบที่มันพึงจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าสร้างสรรค์จึงจะเป็นไปได้ 

หลังจากนี้ผมจะพูดเรื่องการปฏิรูปมากหน่อยอย่างน้อยก็เป็นการปรับความคิดของตนเอง เหลาฝนให้คมเพื่อเตรียมเสนอผ่านเวทีที่รัฐคาดว่าจะจัดในวันที่ 15 ธค นี้ ภาคกองทัพจะจัดในวันที่ 13 หลังจากนี้คงต้องติดตามสถานการณ์เป็นวันๆไป แต่ที่สำคัญที่สุด การปฏิรูปต้องเดินหน้าต่อไปทุกวัน

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เดินตามกติกา เดินหน้าการปฏิรูป


เมื่อวานนี้ผมเขียนบทความสนับสนุนการเลือกตั้ง http://bit.ly/1drnL9g  กระแสดีเกินคาด  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะป้ายดี หรือเพราะเนื้อหาใช้ได้แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากสื่อสารกับทุกท่านคือแนวคิดที่ต้องยืนอยู่บนหลักการ หลักที่ถูกต้อง แต่เดิมผมเสนอให้มีการยุบสภา เพราะนี่คือทางออกเดียวตาม "กลไก" หลายท่านก็ออกโรงตำหนิว่าเข้าล๊อก เข้าตีนใครต่อใคร รู้ไหมอะไรจะเกิดขึ้น นั้นโน้นนี่ ซึ่งผมเองพักหลังเลิกที่จะวิวาทะทางหน้าจอ เพราะไม่เกิดปัญญาใดๆการต่อหรือการคุยกับปัจเจกบุคคลหากเต็มไปด้วยเหตุผลเชิงวิเคราะห์ก็พอฟังอยู่ แต่หลายท่าน ไม่ว่าจะฝั่งใดก็ตามต่างใช้ฐานความรักมาเป็นเหตุผลจึงทำให้การสนทนานั้นหากผมยอมจบก็เท่ากับว่าเหตุผลที่ผมเสนอมาต้องแพ้ต่อความไร้เหตุไร้ผล แต่หากจะเอาชนะอีกฝ่ายทั้งจะเสียน้ำใจและทำให้ไม่ได้อะไรเช่นกัน 

แต่สถานการณ์การเมืองบ้านเราช่วงหลังจากมีการประกาศยุบสภาก็ดูเหมือนมีปฏิกิริยาที่ดีในการคลี่คลายหลายอย่าง แต่เดิมเราทำงานแบบไม่มีเป้าหมาย แต่เมื่อมีเป้าหมายมากำหนดสถานการณ์หรือ "ธง" ที่ชัดเจนทำให้การเคลื่อนเป็นไปอย่างมีจังหวะก้าวที่ต้องเกิดประสิทธิผล เห็นได้จากนักวิชาการ สื่อ กลุ่มการเมือง และผู้ชุมนุมเองก็ต่างเดินหน้าเหมือนปี่มวยที่เร่งเกมส์เร็วสำหรับปิดยกสุดท้าย จากนี้ไปเดือนกว่าๆคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ด้านหนึ่งที่ต้องดำเนินการแน่นอนคือการปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปโดยไม่ใช่องค์กรของรัฐเป็นองค์การขับเคลื่อนหลัก ต้องเป็นองค์กรประชาชนที่เป็นกลจักรในการขับเคลื่อนทั้งตามกลไกเดิมทีมีอยู่ผ่านการบวนการมีส่วนร่วม และกลไกใหม่ใช่สภาประชาชน สมัชชาปฏิรูป หรือแล้วแต่จะเรียกแต่ไม่ใช่สภาที่มีอำนาจ แต่ต้องเป็นเหมือนสถานที่ทางปัญญาที่ถกแถลงและเสนอต่อรัฐ อาจเพราะปัจจุบันมีการให้ปัญญาเช่นนี้บ่อยครั้งหรือไม่ จึงทำให้กระแสมหานกหวีดเกิดขึ้นได้ นั่นเพราะรัฐให้ปัญญากับคนเหล่านี้มากขึ้น แต่เมื่อให้เขาคิดแต่กลับไม่ฟังพวกเขา จึงต้องเป่านกหวีดให้ได้ยินเสียงกันบ้าง 

ผมเองทำงานปฏิรูปมา 4-5 ปี นับตั้งแต่เข้าวงการทั้งเป็นที่รับรู้ และไม่เป็นที่รับรู้ บางท่านพี่ๆเขาทำกันเป็น 20 กว่าปีทำตั้งแต่หนุ่มยันแก่ และแก่กว่านี้เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ด้วยความเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งดีจึงต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จังหวะทางการเมืองที่มีการยุบสภาก็ถือเป็นโอกาสหนึ่งที่จะเสนออย่างน้อยที่สุดคือการสร้างการตื่นตัวและนำประเด็นปัญหาว่าทำไมต้องปฏิรูปลงสู่สังคม ฝ่าย กปปส. ก็มีแนวคิดที่จะปฏิรูปเป็นแนวคิดที่เป็นเปลือกเท่านั้น การหยิบแค่บางส่วนมาทำเป็นนโยบายก็ยังเป็นแนวคิดแบบเดิมของนักการเมือง นำแนวทางที่ดีมาตัดแต่งพันธุกรรมจนทำให้เสียรูปลักษณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไป ส่วนการจะปฎิรูปอย่างไรนั้นคิดวันหน้าผมจะเริ่มเดินหน้าขยายความแต่หากใครที่สนใจจริงลองคลิกเข้าไปใช้คำว่าปฏิรูปนี่แหละครับผมว่าจะได้เห็น ได้ศึกษา และคณะหนึ่งที่ทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจังก็ต้องยกให้ท่านอาจารย์ประเวศ ซึ่งท่านได้สรุปคำสั้นๆไว้ว่า "ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม" ซึ่งผมว่านี่คือหัวใจสำคัญทางการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่ถูกเก็บทางแก้ไขซ่อนไว้ใต้น่าจะกว่าร้อยปีทีเดียว

หลากพรรคการเมืองตอนนี้คงเริ่มเดินหน้าและทำสิ่งหนึ่งที่มากกว่าการจัดทัพเพื่อลงเลือกตั้ง  นั่นคือการชูนโยบายที่เกิดขึ้นจากประชาชน(หากเขาตื่นรู้ และไม่คิดแทนประชาชน) ผมคาราวะหัวใจของคุณสุเทพในเบื้องต้นที่เป็นแม่ทัพนายกองที่จะกอบกู้บ้านเมือง แต่แม่ทัพก็คงเป็นแม่ทัพ ต้องรู้บทบาทของตนตอนนี้ผมว่าแม่ทัพกำลังจะสถาปนาตนเองเข้าสู่การเป็นสถาบันการปกครอง ซึ่งผิดจากวิสัยของตน  นั่นถือเป็นการสร้างทางตันให้แก่ตนเอง สังคมนี้เป็นสังคมแห่งการให้อภัย สังคมคนขี้ลืม ลืมง่าย หากวันนี้ กลุ่มนี้ได้เสนอทางออกหรือสร้างพิมพ์เขียวไว้โดยผ่านกระบวนการทางวิชาการและเสนอให้กลุ่มการเมือง องค์กรกลางเป็นผู้ดำเนินการก็จะเป็นการลงอย่างสง่างาม เพราะประชาชนเดียวนี้ฉลาดขึ้นตื่นรู้ขึ้น ขนาดชาวบ้านร้านตลาดยังสนใจเรื่องของ พรบ.นิรโทษ เพียงแต่การขยิบตาที่จะเข้าพบคนสำคัญ มีคำสั่ง มีการสั่งการ มีการบุกยึก มีการจัดทัพ มีหรือจะไม่รู้ว่านี่คือการปฏิวัติโดยประชาชน เขารู้ครับแค่เขาเคารพและให้เกียรติผู้นำแต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ผมว่าท่านเลยจุดของความพอดีไปแล้ว ควรหาจุดจอดและลงจากตำแหน่งเถิดเพื่อให้ชาติบ้านเมืองได้อยู่รอด 

พัฒนาการของประชาชนมีอยู่อย่างต่อเนื่องผมเห็นจากหน้าเฟสบุ๊คแล้วเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้หากเป็นไปตามกำหนด เราจะเห็นเสียงสะท้อนจากประชาชนหลายอย่าง ทั้งการเลือก การNo Vote และอารยะขัดขืนต่อพรรคที่ตนศรัทธา แดงตื่นรู้ก็มาก สลิ่มเข้าใจก็ไม่น้อย เพราะฉะนั้นในสภาวะที่คนอุดมด้วยปัญญาการครอบงำนั้นควรเลิกคิดได้แล้ว  และให้ความเข้าใจกับประชาชน รับฟังประชาชน และเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง รับแนวทางการปฏิรูปที่มีประชาชนเป็นฐานจะดีกว่าเพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าได้ 


กลับสู่กติกา เดินหน้าการเลือกตั้ง



ท่ามกลางดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ท่ามกลางความแตกแยกของชาติที่นับวันเริ่มซึมลึก รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ชนะในประชาชนเกิน 50% ของผู้ออกมาใช้สิทธิอ้างความชอบธรรมของประชาธิปไตย ประชาชนเลือกคนที่รักคนที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น จังหวัดเข้าไปทำหน้าที่แต่กลับถูกปิดปากและล้างสมองให้ทำหน้าที่เป็นฐานของพรรคการเมือง  ฝ่ายค้านไร้ซึ่งศักยภาพในการต่อสู้เชิงเหตุผล และด้วยปัญญา นำมาซึ่งการล้มล้างสิ่งที่ไม่มีตัวตน และการหาวิถีทางการแก้ไขปัญหาแบบวิธีพิเศษซึ่งคนไทยก็มักใช้วิธีพิเศษ

แม้จะมองว่านี่คือความงดงามแบบไทยๆ ความยืดหยุ่นแบบไทยๆ ซึ่งชาติใดก็ไม่อาจกระทำได้ระหว่างสงครามคนไทยกลับมีการพักยก กอดคอกันจับมือกันและรักกันแบบพลิบตาทำเอาชาวต่างชาติเงิบกันเป็นแถว  แต่พอเสียงระฆังดังขึ้นกลับตั้งการ์ดแล้วย้ำเท้าเข้าหากัน ราวกับนักมวยมุมแดงมุมน้ำเงิน เมื่อสู้กันด้วยคะแนนไม่ไหวก็กลับบอกว่ามวยแพ้คนไม่แพ้ ไม่ชนะคะแนนแต่ชนะใจ ไม่แพ้แบบค้านสายตา

หากเปรียบเทียบกับชาติอื่นๆในสังคมโลกสหรัฐเป็นประเทศหนึ่งที่ผมประทับใจ ไม่ใช่เพราะความยิ่งใหญ่ใดๆ หรือความเป็นมหาอำนาจ แต่เป็นการเคารพซึ่งกติกา การยึดถือหลักที่บัญญัติไว้จากคนรุ่นแรกเริ่มชาติ และก็ไม่เคยฉีกทำลายเลย กติกาซึ่งมีไม่กี่ข้อแต่ก็ค้ำจุนชาติและคนยึดถือปฏิบัติกันสืบต่อมาจนเป็นความน่านับถือ เลื่อมใส สมเป็นผู้นำของโลก

แม้สภาวะการปัจจุบันการเลือกตั้งจะถูกวางเอาไว้กติกาทางสังคมปกติมีการกำหนดไว้ แต่อำนาจที่พยายามสร้างอิทธิพลเหนืออำนาจกำลังก่อตัวอยู่และพยายามสร้างอำนาจการต่อรองให้มาก และเริ่มมากเกินกว่าคำว่าพอดี และเริ่มอยู่เหนือกติกา จริงอยู่ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแต่คงไม่ใช่หมายถึงกลุ่มชนแน่นอนดังนั้นเมื่อกติกาเดินหน้าไปแล้วเราเองก็ควรเคารพซึ่งกติกาเพราะนี่คือหลักยึดในการบริหารประเทศ ถามว่าตุลาการตัดสินผิดถูก(ซึ่งรัฐไทยก็รู้กันดีว่ากฎหมายดีความได้หลายหลาก)ก็ยึดตามหลัก รัฐธรรมนูญทีเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นผลพวงของอะไรใครแต่หากเป็นหลักที่ควรยึดก็ต้องเดินทางกรอบแนวทาง

ซึ่งเมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวทางที่หลากหลายกลุ่มคิดเห็นเช่น การตั้งนายกคนกลาง การเกิดของสภาประชาชน การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจรัฐ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องเดินหน้าอย่างแน่นอนเพียงแต่กลไกเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นภายใต้กติกาที่เรามีร่วมกัน พรรคการเมืองทุกพรรคต่อจากนี้ต้องเสนอแนวทางที่เป็นนโยบายเพื่อสร้างชาติ ไม่ใช่เป็นนโยบายขายฝันซึ่งแน่นอนว่าเหมือนโปรโมชั่นที่ทำเพื่อให้ตนเองขายได้แต่สุดท้ายประเทศชาติที่เจ๊ง และเมื่อลุแกอำนาจก็ดื้อดึงเดินหน้าจนทำให้คนออกมาบนท้องถนนเช่นทุกวันนี้

อนาคตของชาติจะไปต่อได้อย่างไรหากเราไม่ยึดหลักใดๆที่เป็นรูปธรรม และจะนิยมอำนาจพิเศษ ซึ่งกลุ่มใดระดมคนได้มากก็ยึดอำนาจพิเศษขึ้นเช่นนั้นหรือ การกลับมาสู่กติกาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด การเลือกผู้แทนด้วกติกา ด้วยนโยบายสาธารณะคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นประเทศชาติจะเดินหน้าได้อย่างไรหากเราไร้ซึ่งกติกา

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สวนเงินร้อย : ผักหวานบ้าน ทานง่าย อร่อย ได้คุณค่า

เงินทองแม้จะเป็นของนอกกาย แต่อย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องใช้บริการเจ้าสิ่งนี้ ผมเองทำงานพัฒนา งานที่เรียกว่า "อาสา" แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะมีเงินทองร่ำรวย หรือทำงานเพื่อสังคมแบบคุณหญิงคุณนาย ผู้มั่งคั่ง เพราะคำว่าอาสา หรืองานพัฒนานั้น เป็นงานที่เลือกทำในประเด็นหรือมุมงานที่กลุ่มองค์กรของรัฐมักไม่หยิบจับนำมาทำจริงจัง เราต้องเข้าใจบทบาทของรัฐฐะก่อนว่า เขาทำงานแบบนโยบาย ข้าราชการก็ทำงานสนองนโยบายของรัฐ ซึ่งถือว่าได้รับฉันทามติจากประชาชน ดังนั้น งานที่ไม่ได้รับฉันทามติ แต่เป็นงานที่สำคัญใครจะทำ ???  นั่นและงานที่พวกเรากำลังทำ 

แม้ผมเองจะไม่ได้ใช่กลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนแต่ผมมักเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน เป็นกลไกเล็กๆที่ต้องพัฒนาให้เป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม แต่จะเมื่อไหร่นั้นคงไม่อาจกำหนดได้ การยอมรับและความสามารถจะเป็นตัวประเมินเราและยกระดับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น ซึ่งนั่นและเราต้องพัฒนาตนเองในทุกด้านครับ .... ปากท้องจึงเป็นเรื่องสำคัญของนักพัฒนา หลายคนเริ่มต้นที่การทำหาโครงการสร้างเงินเดือนเพื่อให้มีพลังทำงาน  บางคนใช้เวลาว่างจากงานประจำ บางคนใช้เกษตรเป็นเครื่องมือในการเลี้ยงชีพ ผมเองค่อนข้างโชคดีที่มีครอบครัวที่ให้กำลังใจและเข้าใจ มีผู้ใหญ่ที่ให้ความรักและเอ็นดู มีงานที่สร้างรายได้ มีพื้นที่ซึ่งทำให้เกิดรายได้(แม้จะขัดใจคุณพ่อบ้างเพราะพ่อเน้นปลูกไม้หลักคือลำไยก็ตาม)  แต่สถานภาพโดยรวมถือว่าทุกสิ่งเอื้อให้เกิดการทำงานในแต่ละวัน


ผักหวานบ้านเป็นพืชทำเงินชนิดหนึ่งที่ผมเลือกที่จะทำให้เป็นรายได้เสริม ต้องบอกว่าเสริมนะครับ ผมเองไม่มีรายได้หลักจากอะไรเลย มีโครงการด้านสื่อ และการประสานงานโครงการด้านสุขภาพบ้าง มีค่าคอมมิสชั่น การการขายประกันของเมืองไทยประกันชีวิตอยู่ส่วนหนึ่ง มีรายได้จากร้านถ่ายเอกสาร ผมจึงตัดสินใจปลูกต้นผักหวานบ้านโดยเริ่มตั้งแต่ปีก่อน ได้รับอนุเคราะห์กิ่งพันธุ์จากลุงแก้วโต้ง เพาะ 200 กว่าต้น เหลือรอดอยู่ ร้อยกว่าต้น ปลูกในพื้นที่หลังบ้าน ขนาด 5*6 ตร.ม. ถือว่าเกะกะกวนใจคุณพ่อพอสมควรในการใส่ปุ๋ยลำไย พ่นสารทำนอกฤดู 

หลังจากที่ปลูกไปได้ 1 ปี สภาพก็เป็นอย่าที่เห็นนี่แหละครับ ก็ออกใบ ออกยอดให้ทานได้ตลอด ถือว่าหากจะเก็บใส่มาม่า หรือจะเอาต้ม หรือผัด เดินลัดวนสักสองรอบ รับรองได้ถ้วยใหญ่ๆ เมื่อเริ่มต้นผมทำการค้าแบบคิดมาก หาราคากลางตลาดไทย ขายถุงละ 10 บาทตามราคามาตรฐาน แรกๆก็ขายได้นานๆไปชักอืดเพราะมันดูไม่มาก หลังเปลี่ยนแนวทางเป็นการกองไว้แล้วหยิบใส่กันเห็นๆ หนักมือเบามือตามสมควร คนขายพึงใจ คนซื้อแฮปปี้ ได้น้อยกว่าราคากลาง แต่ก็ถือว่าได้เงินเข้ากระเป๋าทุกครั้งที่ไป สวนเล็กๆที่เห็นนี่ หากเก็บเฉพาะยอดและขายหมดก็ คิดซะรอบละ 100 บาท แต่อาทิตย์หนึ่งจะได้เก็บได้ สักครั้งเพราะขนาดของยอดยังยาวไม่พอ เลยคิดว่าน่าจะเพราะเพิ่ม ให้มีแบบนี้อีกสัก สอง สามแห่ง เพราะผักหวานบ้าน ปลูกง่าย โตง่าย(หากไม่แพ้หญ้าซะก่อน)


 

ทุกวันนี้สวนนี้ถือเป็นรายได้เสริมของบ้านผม เพราะคิดเล่นๆว่าหากเก็บขายได้วันละ 100 บาท (เฉลี่ยหลักคิดแบบขายประกัน 10 ถุง ถุงละ 10 บาท เป้าหมายไม่มากน่าจะอยู่ได้)  เดือนหนึ่งขายสัก 20 วัน ก็ได้เงินเพิ่มเดือนละ 2,000 บาทแล้ว (อันนี้แนวคิดสหายปัญญาผมเองหนานเอก) ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงอาจจะได้ไม่ตามเป้าบ้าง แต่ก็จะต้องมีเกินเป้าบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วผมคิดแนวทางการทำงานเหมือนกับที่ อ.ดร.ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์ ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดในการอบรมเกษตรครั้งหนึ่งว่า การทำการเกษตรคือการเรียนรู้ ผมจึงถือว่าไม่ว่าจะได้น้อยหรือได้มาก ล้วนแต่กำไรทั้งสิ้น (หากคิดง่ายๆปุ๋ยก็ไม่ได้ใส่ ยาก็ไม่ได้พ่น ต้นทุกมีแต่น้ำที่จะสูบเข้าเท่านั้น)


ผักหวานบ้าน น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เพิ่มรายได้ในยุคที่เราคิดกันไปเองว่าเศรษฐกิจย่ำแย่ เช่นนี้ และในทางเดียวกันเราก็สร้างแหล่งอาหารที่ดีที่เรากินได้ตลอดไว้หลังบ้าน ... ยกเว้นว่าเราจะเบื่อมันเสียก่อน ^^ 

29/11/2527

ปล.นอกจากผักหวานบ้าน โครงการที่ผมจะทำให้เกิดขึ้นอีกคือ โหระพา และ ผักเชียงดา เริ่มต้นท่านที่ติดตามผมน่าจะเห็นว่าผมปลูกหลายอย่าง ล้มบ้างรุ่งบ้าง กล้วยก็เป็นพืชอีกชนิดที่ปลูก แต่ก็ดูเหมือนยังไม่สร้างรายได้เท่าไหร่ เพราะกำลังการผลิตน้อยกว่าการใช้งานที่หน้าบ้านซึ่งแม่เอาทอดขาย แต่ผมก็ยังตั้งใจที่จะทำให้เกิดรายได้เลี้ยงตัวในงานเกษตร ถือเป็นรายได้เสริม กับรายการไม่ประจำที่มีอยู่

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อรุณสวัสดิ์....พฤหัสบดี 29 สิงหา



วันนี้จะเป็นเด็กดีอยู่เจ้าตี่บ้าน นั่งเขียนงานสางงานก่อนจะออกไปสหวี วี่วี กับหละอ่อนป่าเส้า กับ อนุบาลเมือง บ่อฮู้จะเป๋นใดผ่อง บางวันก่อม่วน บางวันก่ออิดอะละ ตะวานี้ต้องขอบคุณน้องๆ ชัยสถานที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อิดอ่อนจากตี่ไกล ปิ๊กมาก่ออิมใจ๋ เดินทางไกลบ่อเสียดายเลย เห๋มอย่าง ตะวานนี้ เกือบสิ้นเดือน สะสมเงินเดือนครบ พอดี ครับ

หลายท่านอาจแปลกใจว่าผมทำงานอะไร ผมเองก็ งง ตัวเองเหมือนกัน จะว่าทำงานเพื่อสังคม ทำงานอาสาบ่อรับค่าตอบแทน ทำงานเสียสละแต่ก่อจะเลี้ยงปากต้องได้จะใด คงต้องหาเวลาย่อยสารและนำเสนอกั๋น แต่ส่วนตั๋ว ผมถือว่าผมทำงาน "พัฒนา" งานที่เสียสละตัวเองแทนที่จะไปเข้า ระบบ อยู่โรงงานก่อได้ หาตี่กิ๋นเงินเดือนสักตี่ มันก่อบ่อยาก ผมทำได้อยู่แล้ว แต่ก็ยอมที่จะละทิ้ง เพื่อมาทำงานที่บ่อมีคนทำ ทำงานพัฒนา ทำงานการสื่อสาร ทำงานเอกสาร งานวิชาการ สิ่งที่จุนเจอชีวิต ก็คงเป็นค่าจ้าง ค่าทำงานที่หลายองค์กรเห็นว่าเราทำงานเป็นประโยชน์และเรียกใช้กระมัง เพื่อนำสิ่งนี้มาเลี้ยงตัว

เดือนนี้ก็เป็นอีกเดือนหนึ่งที่เมื่อสะสมทั้งค่าทำงาน ค่าเดินทาง ค่าประชุม ค่าคิด และหลากหลายรวมกัน แล้วพอกับเงินเดือนที่ตั้งใจไว้ ไม่มากมายนะครับเพราะผมก็ดันเลือกงาน งานที่เข้าร่วมแล้วจะได้อะไรกลับมาทำงานต่อ ไม่ใช่เป็น"นักประชุม" หรือนักล่าเวที ก็ถือว่าทำงานเลี้ยงทั้งกายและใจ

เอาไว้จะเขียนเรื่องราวที่คิดว่าเพื่อนพ้อง พี่น้องอาจสนใจ และอยากศึกษากันผ่าน blog นะคับ NaiaosOFC.blogspot.com พี้นที่ตรงนี้จะเป็นอีกแห่งที่เอาไว้สื่อสารภายใต้สังคมยุคใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน .... อรุณสวัสดิ์วันพฤหัสครับ


นฤเทพ พรหมเทศน์
29 สิงหา 56

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิถีวัฒนธรรม ส่งเสริมสุขภาวะ



เจิง คือ ศิลปะป้องกันตัวแบบล้านนา ทีผ่านมาเรารู้จักแต่การฟ้อน การแสดงซึ่งเป็นส่วนเสี้ยวหนึ่งของการต่อสู้ เสมือนกันกับการลดล่อทางภาคกลางเพื่อเข้าสู่กลยุทธ์ กลศึก และเป็นการสอดแทรกเคล็ดลับอย่างแนบเนียน

สุขภาวะ คือ สภาวะทางสุขภาพทางกาย จิต สังคม และปัญญา กล่าวคือสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่มีผลต่อสุขภาพทางตรง ทางอ้อม
เจิงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่พัฒนาทุกระบบของสุขภาพวะ

ก็ยังดี

 #ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี  ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...