เงินทองแม้จะเป็นของนอกกาย แต่อย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องใช้บริการเจ้าสิ่งนี้ ผมเองทำงานพัฒนา งานที่เรียกว่า "อาสา" แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะมีเงินทองร่ำรวย หรือทำงานเพื่อสังคมแบบคุณหญิงคุณนาย ผู้มั่งคั่ง เพราะคำว่าอาสา หรืองานพัฒนานั้น เป็นงานที่เลือกทำในประเด็นหรือมุมงานที่กลุ่มองค์กรของรัฐมักไม่หยิบจับนำมาทำจริงจัง เราต้องเข้าใจบทบาทของรัฐฐะก่อนว่า เขาทำงานแบบนโยบาย ข้าราชการก็ทำงานสนองนโยบายของรัฐ ซึ่งถือว่าได้รับฉันทามติจากประชาชน ดังนั้น งานที่ไม่ได้รับฉันทามติ แต่เป็นงานที่สำคัญใครจะทำ ??? นั่นและงานที่พวกเรากำลังทำ
แม้ผมเองจะไม่ได้ใช่กลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนแต่ผมมักเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน เป็นกลไกเล็กๆที่ต้องพัฒนาให้เป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม แต่จะเมื่อไหร่นั้นคงไม่อาจกำหนดได้ การยอมรับและความสามารถจะเป็นตัวประเมินเราและยกระดับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น ซึ่งนั่นและเราต้องพัฒนาตนเองในทุกด้านครับ .... ปากท้องจึงเป็นเรื่องสำคัญของนักพัฒนา หลายคนเริ่มต้นที่การทำหาโครงการสร้างเงินเดือนเพื่อให้มีพลังทำงาน บางคนใช้เวลาว่างจากงานประจำ บางคนใช้เกษตรเป็นเครื่องมือในการเลี้ยงชีพ ผมเองค่อนข้างโชคดีที่มีครอบครัวที่ให้กำลังใจและเข้าใจ มีผู้ใหญ่ที่ให้ความรักและเอ็นดู มีงานที่สร้างรายได้ มีพื้นที่ซึ่งทำให้เกิดรายได้(แม้จะขัดใจคุณพ่อบ้างเพราะพ่อเน้นปลูกไม้หลักคือลำไยก็ตาม) แต่สถานภาพโดยรวมถือว่าทุกสิ่งเอื้อให้เกิดการทำงานในแต่ละวัน

ผักหวานบ้านเป็นพืชทำเงินชนิดหนึ่งที่ผมเลือกที่จะทำให้เป็นรายได้เสริม ต้องบอกว่าเสริมนะครับ ผมเองไม่มีรายได้หลักจากอะไรเลย มีโครงการด้านสื่อ และการประสานงานโครงการด้านสุขภาพบ้าง มีค่าคอมมิสชั่น การการขายประกันของเมืองไทยประกันชีวิตอยู่ส่วนหนึ่ง มีรายได้จากร้านถ่ายเอกสาร ผมจึงตัดสินใจปลูกต้นผักหวานบ้านโดยเริ่มตั้งแต่ปีก่อน ได้รับอนุเคราะห์กิ่งพันธุ์จากลุงแก้วโต้ง เพาะ 200 กว่าต้น เหลือรอดอยู่ ร้อยกว่าต้น ปลูกในพื้นที่หลังบ้าน ขนาด 5*6 ตร.ม. ถือว่าเกะกะกวนใจคุณพ่อพอสมควรในการใส่ปุ๋ยลำไย พ่นสารทำนอกฤดู
หลังจากที่ปลูกไปได้ 1 ปี สภาพก็เป็นอย่าที่เห็นนี่แหละครับ ก็ออกใบ ออกยอดให้ทานได้ตลอด ถือว่าหากจะเก็บใส่มาม่า หรือจะเอาต้ม หรือผัด เดินลัดวนสักสองรอบ รับรองได้ถ้วยใหญ่ๆ เมื่อเริ่มต้นผมทำการค้าแบบคิดมาก หาราคากลางตลาดไทย ขายถุงละ 10 บาทตามราคามาตรฐาน แรกๆก็ขายได้นานๆไปชักอืดเพราะมันดูไม่มาก หลังเปลี่ยนแนวทางเป็นการกองไว้แล้วหยิบใส่กันเห็นๆ หนักมือเบามือตามสมควร คนขายพึงใจ คนซื้อแฮปปี้ ได้น้อยกว่าราคากลาง แต่ก็ถือว่าได้เงินเข้ากระเป๋าทุกครั้งที่ไป สวนเล็กๆที่เห็นนี่ หากเก็บเฉพาะยอดและขายหมดก็ คิดซะรอบละ 100 บาท แต่อาทิตย์หนึ่งจะได้เก็บได้ สักครั้งเพราะขนาดของยอดยังยาวไม่พอ เลยคิดว่าน่าจะเพราะเพิ่ม ให้มีแบบนี้อีกสัก สอง สามแห่ง เพราะผักหวานบ้าน ปลูกง่าย โตง่าย(หากไม่แพ้หญ้าซะก่อน)
ทุกวันนี้สวนนี้ถือเป็นรายได้เสริมของบ้านผม เพราะคิดเล่นๆว่าหากเก็บขายได้วันละ 100 บาท (เฉลี่ยหลักคิดแบบขายประกัน 10 ถุง ถุงละ 10 บาท เป้าหมายไม่มากน่าจะอยู่ได้) เดือนหนึ่งขายสัก 20 วัน ก็ได้เงินเพิ่มเดือนละ 2,000 บาทแล้ว (อันนี้แนวคิดสหายปัญญาผมเองหนานเอก) ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงอาจจะได้ไม่ตามเป้าบ้าง แต่ก็จะต้องมีเกินเป้าบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้วผมคิดแนวทางการทำงานเหมือนกับที่ อ.ดร.ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์ ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดในการอบรมเกษตรครั้งหนึ่งว่า การทำการเกษตรคือการเรียนรู้ ผมจึงถือว่าไม่ว่าจะได้น้อยหรือได้มาก ล้วนแต่กำไรทั้งสิ้น (หากคิดง่ายๆปุ๋ยก็ไม่ได้ใส่ ยาก็ไม่ได้พ่น ต้นทุกมีแต่น้ำที่จะสูบเข้าเท่านั้น)
ผักหวานบ้าน น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เพิ่มรายได้ในยุคที่เราคิดกันไปเองว่าเศรษฐกิจย่ำแย่ เช่นนี้ และในทางเดียวกันเราก็สร้างแหล่งอาหารที่ดีที่เรากินได้ตลอดไว้หลังบ้าน ... ยกเว้นว่าเราจะเบื่อมันเสียก่อน ^^
29/11/2527
ปล.นอกจากผักหวานบ้าน โครงการที่ผมจะทำให้เกิดขึ้นอีกคือ โหระพา และ ผักเชียงดา เริ่มต้นท่านที่ติดตามผมน่าจะเห็นว่าผมปลูกหลายอย่าง ล้มบ้างรุ่งบ้าง กล้วยก็เป็นพืชอีกชนิดที่ปลูก แต่ก็ดูเหมือนยังไม่สร้างรายได้เท่าไหร่ เพราะกำลังการผลิตน้อยกว่าการใช้งานที่หน้าบ้านซึ่งแม่เอาทอดขาย แต่ผมก็ยังตั้งใจที่จะทำให้เกิดรายได้เลี้ยงตัวในงานเกษตร ถือเป็นรายได้เสริม กับรายการไม่ประจำที่มีอยู่

