รายงานสาธารณะฉบับที่ 30.2 ร่วมเวทีเตรียมรับฟังเสียงประชาชน สู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ในช่วงวันที่ 24-26 ธันวาคม 2557 เป็นช่วงเวลาของการจัดการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 7 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ อิมเพค เมืองทองธานี โดยปีนี้ มีระเบียบวาระที่เข้าสู่การประชุม 6 “ระเบียบวาระ” และ 1 การรายงานผลความก้าวหน้าของ “มติ” สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้อะไรเพิ่มขึ้นและได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นเช่นเคยครับ
จากเชียงใหม่เช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน ผมต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนในฐานะ “นักสานพลัง” ซึ่งปีนี้ทางผู้จัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติให้โควต้าผู้เข้าอบรมโครงการนักสานพลังร่วมกิจกรรมและแสดงออกถึงศักยภาพของนักสานพลังซึ่งมีบทบาทที่เรียกว่า 5 ตัวจี๊ด (นักประสาน/นักสื่อสาร/นักยุทธศาสตร์/นักวิชาการ/นักจัดการ) โดยตัวแทนแต่ละฝ่ายหลังจากที่ได้มีการวางแผนเบื้องต้นก็เข้าร่วมประชุมที่บ้านของ“สุชน” หรือ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของการมาเยือนครับ ซึ่งเดินทางมากับพี่สาวสองท่าน(พี่แอ้ว และพี่พะยอม) และอ้ายบ่าวจากเมืองตรัง(บังฝาด) พี่ๆ นนส.รุ่น 57 เพื่อร่วมออกแบบกิจกรรมร่วมกัน
การประชุมเป็นไปแบบเป็นทางการในช่วงต้น จนกระทั่วคลายตัวและสู่ความไม่เป็นทางการในบั้นปลายแต่ถือเป็นการผสานพลังทั้งการเล่น และความจริงจัง ผลผลิตที่ได้มีทั้งตารางกิจกรรมที่คราวนี้ นักสานพลังออกแบบกิจกรรมเองในตลอดระยะเวลา 3 วัน ของการเข้าเวทีสมัชชาติ การเตรียมกิจกรรมสำคัญหลายกิจกรรมทั้งการออกแบบการเรียนรู้ โจทย์ เป้าหมายของการเรียนรู้ตลอดทั้งงาน การเตรียมเวทีเสวนาขาขึ้นขาเคลื่อนประเด็นสุขภาพสู่ระดับชาติ(การยกระดับการแก้ปัญหาสู่นโยบายสาธารณะ)และกิจกรรมการเปิดตัวนักสานพลัง ซึ่งคุณก็ไม่รู้ว่า “นนส. คือใคร”
หลังจากได้ผลผลิตของการเดินทางในวันแรกนักสานพลัง ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของจังหวัดต่างๆด้วยก็ได้เดินทางเข้าที่พักเตรียมตัวเป็นทีมจังหวัดในวันรุ่งขึ้น ผมเองติดนิสัยคนบ้านนอกนอนดึกตื่นสายแบบลืมตัว เผอิญว่าที่พักอยู่ห่างจากโรงแรมเลยต้องสวมวิญญาณคนกรุง ตื่นเช้าตั้งแต่ตี 5 ทั้งๆที่หลับตอนเกือบตี 1 สะโหลสะแหล ออกจากที่พักพร้อมกับลุงนิ(นนส. เชียงราย) ออกเกือบ 7 โมง ด้วยความโชคดีที่รถไม่มากจึงถึงที่ประชุม รร.อมารี ดอนเมือง หรือโรงแรมแอร์พอต ดอนเมือง ทันเวที
เนื่องจากเข้ามาเช้าเลยมีเวลาสำรวจสถานที่บ้าง อะไรบ้างเก็บภาพเก็บแนวคิดเพื่อเอาไปปรับใช้ในจังหวัดลำพูน ในฐานะของ “หน่วยเลขานุการกิจฯลำพูน” สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางเต็มอัตรา 5 คนมีพี่ม่อน ศราวุธ จากสมาคมพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดลำพูน พี่เจี๊ยบ กรพินธ์ จากพัฒนาสังคมจังหวัดลำพูน ลุงบุญส่ง จากสถาบันวิจัยหริภุญัย และพี่นัท ปภังกรณ์ จากเครือข่ายชุมชนแม่ทา ร่วมกับผม เป็น 5 คนตามโควตา โดยปีนี้สมัชชาสุขภาพแห่งชาติมี 6 ระเบียบวาระที่จะต้องเข้าสู่ที่ประชุมโดยต้องจัดทำเวทีรับฟังเสียงประชาชนก่อนการเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติซึ่งประกอบไปด้วย 1) การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อบูรณาการกลไกคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัวจากปัจจัยเสี่ยง 2) การจัดการสเตอรอยด์ที่คุกคามสุขภาพของคนไทย 3) การพัฒนากระบวนการประเมินและการตัดสินใจการใช้เทคโนโลยีด้านสุขภาพ 4) การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในประชาชน 5) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์สุขภาพโลกของประเทศไทย 6) ทบทวนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาวะและสังคมจากการค้าเสรีระหว่างประเทศ(FTA) และ 7)รายงานความก้าวหน้า ในการติดตามการดำเนินงานตามมติฯโดยทีมจังหวัดได้จัดสรรภารกิจเพื่อเข้าสู่การประชุมแต่ละห้อง และเก็บรายละเอียดเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ที่ประชุมจังหวัดในคราวในช่วงวันที่ 24-30 พย. โดยเป็นไปตามความพร้อมของแต่จังหวัด
แน่นอนว่า แต่ละท่านต่างไม่ใช่หมอ ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านแพทย์ หรือความรู้ด้านสา’สุข แต่เนื่องด้วยสุขภาพสมัยใหม่ นั้นไม่จำกัดเพียงมด หมอ ยูก ยา แต่เป็นเรื่องของคนทุกท่าน สุขภาพองค์รวมที่ต้องคำนึงพึงกาย ใจ ปัญญาและสังคม ที่จะต้องดูแลให้ครบแบบ 360 องศาก็ว่าได้ จึงจำเป็นต้องมีความหลากหลายจากแบบสหวิชาชีพ ที่เข้ามามีส่วนร่วม และจะนำไปสู่ความเป็นเจ้าของในอนาคต ซึ่งนี่คือทิศทางของนโยบายสาธารณะสมัยใหม่ การฟังเสียงของประชาชนก่อนเคลื่อนงานนโยบาย หรือตัดสินใจทำงานที่จะกระทบต่อผู้คนทั้งดีและร้าย ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนมีความเป็นเจ้าของและพร้อมจะดูแลรักษาสิ่งเหล่านั้น มากกว่าการยัดเยียดโดยไม่ฟังแม้เสียงของประชาชนในความต้องการ หรือไม่ต้องการที่เกิดขึ้น
แม้แต่ละท่านที่เดินทางเข้าร่วมจะไม่ชำนาญเอาเสียเลยกับเรื่องที่ดูใหม่สำหรับระเบียบวาระทั้ง 6 ที่เกิดขึ้นในปีนี้ แต่สิ่งที่ทุกท่านมีเสมือนกันคือความตั้งใจ ใฝ่รู้ ศึกษา และหอบข้อมูลกับไปคืนสู่พื้นที่อย่างดีที่สุด และซึ่งนี่คือพลังของพลเมืองที่เกิดขึ้น อย่างเป็นระบบโดยมีกลไก “สมัชชาสุขภาพ” เป็นเครื่องเร่งกระบวนการให้เกิดขึ้น คงต้องติดตามกันอีกครั้งครับว่าหลังจากนี้ เวทีพิจารณาร่างมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 7 จะเกิดขึ้นในวันใด ที่ใด ต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิดครับ แล้วผมจะเก็บเกี่ยวนำมาบอกเล่าเป็นระยะๆครับ
14 พฤษภาคม 2557 : ตำบลอุโมงค์ ลำพูน
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
พลังแห่งการตั้งคำถาม พลังแห่งความสงสัย
พลังแห่งการตั้งคำถาม พลังแห่งความสงสัย
ขณะที่ผมเดินทางออกไปหาอะไรกิน(รอพี่สาวจากเชียงราย)ผมได้สบตาคู่งามของ สาวๆกลุ่มหนึ่ง ปมสัมผัสได้ว่าเธอมีความมั่นใจในแบบฉบับสาวพาณิชย์ น่าจะเดินทางมาดอนเมืองไม่บ่อยนัก เพราะผมสังเกตเห็นว่าเธอกำลังเดินขึ้นบันไดชั้นสองของอาคารซึ่งไกล และคงเหนื่อยน่าดูเพราะเธอมีกระเป๋าใบงามแบบนักเดินทางฟรุ้งฟริ้งกันทุกนาง สักพักเธอลับตาผมไป ตอนแรกผมแกรงว่าเธอจะไปคยละทางกับผม เลยไม่ได้ทัก ผมเลือกเดินไปที่ลิฟ ตามแบบของคนที่ติดสบาย(ไม่รักโลกเอาเสียเลย)
และแล้พอขึ้นชั้น 2 ผมได้สบตากับเธอ อีกครั้งพร้อมเม็ดเหงื่อที่แสดงถึงความเหนื่อยพอดู นางยิ้มแบบอายๆน่ารักดี ในใจผมคิดว่าจริงแล้วเหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดหากเธอลองสำรวจ สังเกต และสอบถาม ถึงวิธีที่ดีที่สุดในการเดินทาง
ทำให้ผมฉงนคิดถึงพลังแห่งความสงสัย พลังของการตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่ค่อยถูกสอยให้สงสัย ซักถาม โต้ตอบ และรับฟัง อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของพลเมือง ฤ เรากลัวจะถูกมองว่าไม่ฉลาด(ฮ่า) บ่อยครั้งหากผมไม่รู้ผมจะรีบถาม หรือหาเวลาหลังไมค์เอาให้เครียซึ่งนั่นแหละสายตาแห่งคำสาปก็จะทะลักเข้ามา แต่กระนั้นผมก็ภูมิใจนะ(หึหึ)ว่าผมได้รู้แล้ว อย่างน้อยผมก็รู็ตามที่เป้าหมายต้องการให้รู้แล้วหละ
ถึงตอนนี้ผมเริ่มตระหนักถึงพลังแห่งความสงสัย ที่นำไปสู่พลังของการตั้งคำถาม และพาเราไปสู่ประสบการณ์ใหม่ว่ามันมีพลังจิงๆ (Oh my GOD)(เช้า12 พย 57:ดอนเมืองขาออก)
ขณะที่ผมเดินทางออกไปหาอะไรกิน(รอพี่สาวจากเชียงราย)ผมได้สบตาคู่งามของ สาวๆกลุ่มหนึ่ง ปมสัมผัสได้ว่าเธอมีความมั่นใจในแบบฉบับสาวพาณิชย์ น่าจะเดินทางมาดอนเมืองไม่บ่อยนัก เพราะผมสังเกตเห็นว่าเธอกำลังเดินขึ้นบันไดชั้นสองของอาคารซึ่งไกล และคงเหนื่อยน่าดูเพราะเธอมีกระเป๋าใบงามแบบนักเดินทางฟรุ้งฟริ้งกันทุกนาง สักพักเธอลับตาผมไป ตอนแรกผมแกรงว่าเธอจะไปคยละทางกับผม เลยไม่ได้ทัก ผมเลือกเดินไปที่ลิฟ ตามแบบของคนที่ติดสบาย(ไม่รักโลกเอาเสียเลย)
และแล้พอขึ้นชั้น 2 ผมได้สบตากับเธอ อีกครั้งพร้อมเม็ดเหงื่อที่แสดงถึงความเหนื่อยพอดู นางยิ้มแบบอายๆน่ารักดี ในใจผมคิดว่าจริงแล้วเหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดหากเธอลองสำรวจ สังเกต และสอบถาม ถึงวิธีที่ดีที่สุดในการเดินทาง
ทำให้ผมฉงนคิดถึงพลังแห่งความสงสัย พลังของการตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเราจึงไม่ค่อยถูกสอยให้สงสัย ซักถาม โต้ตอบ และรับฟัง อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของพลเมือง ฤ เรากลัวจะถูกมองว่าไม่ฉลาด(ฮ่า) บ่อยครั้งหากผมไม่รู้ผมจะรีบถาม หรือหาเวลาหลังไมค์เอาให้เครียซึ่งนั่นแหละสายตาแห่งคำสาปก็จะทะลักเข้ามา แต่กระนั้นผมก็ภูมิใจนะ(หึหึ)ว่าผมได้รู้แล้ว อย่างน้อยผมก็รู็ตามที่เป้าหมายต้องการให้รู้แล้วหละ
ถึงตอนนี้ผมเริ่มตระหนักถึงพลังแห่งความสงสัย ที่นำไปสู่พลังของการตั้งคำถาม และพาเราไปสู่ประสบการณ์ใหม่ว่ามันมีพลังจิงๆ (Oh my GOD)(เช้า12 พย 57:ดอนเมืองขาออก)
คนสำราญ งานสำเร็จ งานเสร็จคนมีความสุข
คนสำราญ งานสำเร็จ งานเสร็จคนมีความสุข
วันนี้ รู้สึกดีมากครับ ได้เรื่องดีๆหลายเรื่อง ระหว่างการเดินทางกลับ ซึ่งผมได้เดินทางร่วมกับพ่อหนานนิรันดร์ พี่แอ้ว ทีมเชียงราย เจอเท็กซี่เบาะขาว มารยาทดี มีน้ำใจ ขับรถสุภาพ รู้สึกประทับใจสุดๆและไม่แปลกใจเลยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เขารับจะเป็นระดับ VIP แต่เผอิญว่าพี่เขามาส่งจากกระทรวงออกมาถึงถนนงามวงศ์วานจึงต้องลงรถอีกต่อ หนึ่งซึ่งก็น่าแปลกใจที่เจอแท็กซี่สาว(ใหญ่)พูดคุยลงลึกถึงงานในกระทรวงสา’ สุข แค้นไปมาๆกลายเป็นเจ้าหน้าในกระทรวงระดับ ซี 7 ถ้าไม่ไม่เป็นจริงก็คงทำการบ้านมาดีมาก เพราะฉายภาพ และเล่าเรื่องได้หลายเรื่อง เรียกว่ารู้จักหน่วยงานชื่อว่าสัปรส (สปรส.) และไล่ฉากสำคัญของหน่วยงานนี้ได้ก็ไม่ธรรมดาหละ
ว่าไป แล้ววันนี้สนุกมากและประทับใจอะไรหลายอย่างครับทั้งก่อน กลาง หลังการประชุม หากนับผลผลิตของการจัดโปรแกรมของ “นักสานพลัง” ที่จะวางแผนไว้ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 7 นี้ตัวแทนแต่ละทีมงานที่ลงไปทำงานและกลับมานำเสนออย่างดีครับ ทั้งงานสื่อ งานประเมินผล ผมรับผิดชอบเรื่องทำ mind map งานง่ายๆก็ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากเลยให้เวลาของพี่ๆฉายเรื่องที่สำคัญๆกัน
ภาพรวม ของลงวันนี้มีหลายด้านครับทั้งเรื่องการจัดโปรแกรมสำหรับให้ นักสานพลังเก็บเกี่ยวข้อมูลจากงานสมัชชาสุขภาพ ซึ่งฝ่ายวิชาการคงต้องออกแบบโจทย์กำหนดเป้าหมายของผลการเรียนรู้ ฝ่ายประเมินก็จะได้ตรวจการบ้านได้ถูก ฝ่ายสื่อต้องช่วยกันสร้างพื้นที่สื่อสาร จะเชิญใครออกวิทยุ ทีวีออนไลน์ เฟสบุ๊ค หม้อหุงข้าว ไมคโครเวฟฟฟฟ.... ก็ว่ากันไปเอาเป็นว่าปูพรมยึดพื้นที่กันให้แน่นหนา และที่สำคัญอาจนับเป็นไฮไล้ท์ ที่สำคัญมากคือการเปิดตัว “นักสานพลัง” อันนี้จำเป็นจะต้องวางแผนกันขนาดหนักทีเดียวเรื่องการทำงานเชิงนำเสนอว่าจะ ทำอย่างไร รวมถึงการจัดเสวนาขาขึ้นขาเคลื่อน(การยกระดับประเด็นสู่นโยบายสาธารณะ)จาก ทั้งภาคเหนือว่าด้วยสุขภาวะชาวนา ภาคอีสาน พยาธิใบไม้ในตับ หรือใต้สันติสุข ที่ได้ช่วยกันยกขึ้นมาสู้สมัชชาชาติ เขาทำกันอย่างไร
สิ่ง เหล่านี้ชัดเจนในระดับการเห็นภาพงาน แต่รายละเอียดจำเป็นจำต้องเสริมซ้ำอีกครั้งให้ชัด คม ลึก และได้ผลส่งต่อให้กำลังคนกลับไปสานพลังร่วมกับการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมี ส่วนร่วม(PHPP) ในพื้นที่อย่าง smart โดยพรุ่งนี้นักสานพลังจากทุกภาค และเครือข่ายจังหวัดจะเดินทางร่วมกันที่ รร.อมารี ดอนเมืองเพื่อรับฟังแนวทางการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพจังหวัด พร้อมทั้งการร่วมเรียนรู้ในกลุ่มระเบียบวาระของชาติ 7 มติอีกด้วย พรุ่งนี้จะเกิดงานขึ้นอีกหลายงาน สิ่งดีๆในแต่ละจังหวัดกำลังจะงอกงามขึ้นเช่นกัน ต้องติดตาม จับตา ประโยชน์ที่แต่ละพื้นที่จังหวัดจะได้รับอย่างใกล้ชิดครับ
(12 พย 57 : ชั้น 2 บ้านสุชน[สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ])

วันนี้ รู้สึกดีมากครับ ได้เรื่องดีๆหลายเรื่อง ระหว่างการเดินทางกลับ ซึ่งผมได้เดินทางร่วมกับพ่อหนานนิรันดร์ พี่แอ้ว ทีมเชียงราย เจอเท็กซี่เบาะขาว มารยาทดี มีน้ำใจ ขับรถสุภาพ รู้สึกประทับใจสุดๆและไม่แปลกใจเลยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เขารับจะเป็นระดับ VIP แต่เผอิญว่าพี่เขามาส่งจากกระทรวงออกมาถึงถนนงามวงศ์วานจึงต้องลงรถอีกต่อ หนึ่งซึ่งก็น่าแปลกใจที่เจอแท็กซี่สาว(ใหญ่)พูดคุยลงลึกถึงงานในกระทรวงสา’ สุข แค้นไปมาๆกลายเป็นเจ้าหน้าในกระทรวงระดับ ซี 7 ถ้าไม่ไม่เป็นจริงก็คงทำการบ้านมาดีมาก เพราะฉายภาพ และเล่าเรื่องได้หลายเรื่อง เรียกว่ารู้จักหน่วยงานชื่อว่าสัปรส (สปรส.) และไล่ฉากสำคัญของหน่วยงานนี้ได้ก็ไม่ธรรมดาหละ
ว่าไป แล้ววันนี้สนุกมากและประทับใจอะไรหลายอย่างครับทั้งก่อน กลาง หลังการประชุม หากนับผลผลิตของการจัดโปรแกรมของ “นักสานพลัง” ที่จะวางแผนไว้ในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 7 นี้ตัวแทนแต่ละทีมงานที่ลงไปทำงานและกลับมานำเสนออย่างดีครับ ทั้งงานสื่อ งานประเมินผล ผมรับผิดชอบเรื่องทำ mind map งานง่ายๆก็ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากเลยให้เวลาของพี่ๆฉายเรื่องที่สำคัญๆกัน
ภาพรวม ของลงวันนี้มีหลายด้านครับทั้งเรื่องการจัดโปรแกรมสำหรับให้ นักสานพลังเก็บเกี่ยวข้อมูลจากงานสมัชชาสุขภาพ ซึ่งฝ่ายวิชาการคงต้องออกแบบโจทย์กำหนดเป้าหมายของผลการเรียนรู้ ฝ่ายประเมินก็จะได้ตรวจการบ้านได้ถูก ฝ่ายสื่อต้องช่วยกันสร้างพื้นที่สื่อสาร จะเชิญใครออกวิทยุ ทีวีออนไลน์ เฟสบุ๊ค หม้อหุงข้าว ไมคโครเวฟฟฟฟ.... ก็ว่ากันไปเอาเป็นว่าปูพรมยึดพื้นที่กันให้แน่นหนา และที่สำคัญอาจนับเป็นไฮไล้ท์ ที่สำคัญมากคือการเปิดตัว “นักสานพลัง” อันนี้จำเป็นจะต้องวางแผนกันขนาดหนักทีเดียวเรื่องการทำงานเชิงนำเสนอว่าจะ ทำอย่างไร รวมถึงการจัดเสวนาขาขึ้นขาเคลื่อน(การยกระดับประเด็นสู่นโยบายสาธารณะ)จาก ทั้งภาคเหนือว่าด้วยสุขภาวะชาวนา ภาคอีสาน พยาธิใบไม้ในตับ หรือใต้สันติสุข ที่ได้ช่วยกันยกขึ้นมาสู้สมัชชาชาติ เขาทำกันอย่างไร
สิ่ง เหล่านี้ชัดเจนในระดับการเห็นภาพงาน แต่รายละเอียดจำเป็นจำต้องเสริมซ้ำอีกครั้งให้ชัด คม ลึก และได้ผลส่งต่อให้กำลังคนกลับไปสานพลังร่วมกับการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมี ส่วนร่วม(PHPP) ในพื้นที่อย่าง smart โดยพรุ่งนี้นักสานพลังจากทุกภาค และเครือข่ายจังหวัดจะเดินทางร่วมกันที่ รร.อมารี ดอนเมืองเพื่อรับฟังแนวทางการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพจังหวัด พร้อมทั้งการร่วมเรียนรู้ในกลุ่มระเบียบวาระของชาติ 7 มติอีกด้วย พรุ่งนี้จะเกิดงานขึ้นอีกหลายงาน สิ่งดีๆในแต่ละจังหวัดกำลังจะงอกงามขึ้นเช่นกัน ต้องติดตาม จับตา ประโยชน์ที่แต่ละพื้นที่จังหวัดจะได้รับอย่างใกล้ชิดครับ
(12 พย 57 : ชั้น 2 บ้านสุชน[สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ])
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
รายงานสาธารณะเพื่อสุขภาวะสังคม ปักษ์แรก เดือน พฤศจิกายน 57
รายงานสาธารณะเพื่อสุขภาวะสังคม ปักษ์แรก เดือน พฤศจิกายน 57
สวัสดีครับเพื่อสมาชิกชาวโซเชียวทั้งหลาย อย่าพึ่งแปลกใจว่าช่วงนี้ผมตะบี้ตะบันทำอะไรหนักหนา จริงแล้วช่วงเวลาต่อจากนี้ผมพยายามจะสรุป ขมวด และจัดการเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องการประชาสังคม งานสาธารณะ และสุขภาวะสังคม ให้เป็นรายงานสาธารณะเพื่อสุขภาวะสังคม ทางหนึ่งเสมือนรายงานความก้าวหน้าของงานที่ทำ ใครที่สนใจในสิ่งที่ผมทำ ว่ากำลังทำอะไร เป็นอะไร หรือทำงานอะไร ผมเองก็ตอบได้ไม่หมด ไม่ชัด นอกเสียจากท่านทั้งหลายจะให้เกียรติติดตามและซึมซับกับสิ่งเหล่านี้ครับ แต่ผมพอสรุปได้อย่างสั้นๆลงตัวว่ากำลังทำงานเพื่อสุขภาวะสังคม
ด้วยความสำนึกในเงินภาษีของพวกเรา ของผม จึงรู้สึกว่าคนที่ต้นทุนน้อยอย่างผมได้รับโอกาสดีๆหลายอย่าง และโอกาสเหล่านั้นก็ตั้งอยู่เงินภาษี เงินกองกลางของพวกเราทุกคน การรายการสาธารณะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะทดแทนบุญคุณของแผ่นดินหรือกระจายผลประโยชน์ของพวกท่านที่ผมได้เผชิญ ได้เข้าไปใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นได้คุ้มค่าหรือไม่ เปรียบเป็นการรายงานความก้าวหน้าโดยสำนึกในประโยชน์สาธารณะในเงินสาธารณะที่ผมได้รับและทำงานทางสังคมที่เป็นอยู่ครับ
เบื้องต้นของรายงานเรื่องกิจกรรมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติก่อนนะครับ ในปีนี้ครั้งที่ 7 ของกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งถือว่ามีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับชาติ ระดับประเด็น และขยายสู่ระดับจังหวัด โดยมีการสร้างคนทำงานแนวนอน หรือเพื่อนร่วมพัฒนาอย่าง นนส.(นักสานพลัง) กระจายให้เต็มพื้นที่ทุกจังหวัด ซึ่งในวันที่ 13 พย.นี้จะเป็นการประชุมเตรียมความพร้อมเพื่อจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปีนี้มีทั้งหมด 7 ระเบียบวาระครับ รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบต่อไป สำหรับการเดินทางนั้นลำพูนมีตัวแทน 5 ท่านได้แก่ คุณศราวุธ จันตาเวียง สมาคมพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นจังหวัดลำพูน คุณกรพินธ์ วงศ์เจริญ นักพัฒนาสังคม(ว) พมจ.ลำพูน คุณบุญส่ง เวศยสิรินทร์ นายกสมาคมสถาบันวิจัยหริภุญชัย คุณปภังกร อัศวพิรุณ เครือข่ายองค์กรชุมชนแม่ทา และผมอีกหนึ่งคนในฐานนะทีมเลขานุการกิจฯ เข้าร่วม โดยผมจะเดินทางล่วงหน้าไปก่อนในวันที่ 12 เพื่อเตรียมกิจกรรมพิเศษในส่วนของนักสานพลัง (นนส.) ซึ่งลำพูนมี 3 ท่านคือ ผอ.ธวัชชัย กันทะวันนา ทต.ริมปิง คุณวันเพ็ญ พรินทรากูล สถาบันวิจัยหริภุญชัย ซึ่งทราบว่าตอนนี้ทาง สช.ได้จีบตัวแทนลำพูนอีกท่านเพื่อเข้าโปรแกรมนักสานพลังในปี 58 ต่อไปครับ
สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเริ่มเขาไปจัดรายการวิทยุ สวท.ลำพูน 95.0 Mhz ช่วงเวลา 13.00-14.00 น. ในรายการฮอมแฮงแป๋งหละปูน ซึ่งนับจากนี้จะเริ่มจัดอย่างจิงจัง นั่นหมายความว่า ทุกวันจันทร์ผมจะไม่รับนัดใคร หากไม่สำคัญผมจะไม่ part เวลาส่วนนี้ไปไหนเพื่อนำเรื่องราวของภาคประชาสังคม สื่อสารผ่านช่องทางของสถานีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นครับ สัปดาห์ที่แล้วผมได้เดินทางไปร่วมกับทีมนักสื่อสารของเว็บไซท์ areahpp.net ซึ่งเป็นเว็บของสำนักปฏิบัติการพื้นที่เพื่อร่วมคิดวางแนวทางในการสื่อสารทางสังคมระดับพื้นที่จังหวัด กลุ่มจังหวัด(เขตสุขภาพ) และงานส่วนกลางระดับชาติให้ครอบคลุมทุกมิติครับ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ รายงานสาธารณะของผมถูกหยิบยกไปสู่ เรื่องเล่าของทางเว็บไซท์ ของคุณมากสำหรับการให้ความสำคัญครับ
และในช่วงเวลาสัปดาห์ก็เป็นช่วงเวลาของการจัดส่งเอกสารสรุปกิจกรรมสมัชชาสุขภาพโครงการปี 56-57 และวางแผนสำหรับปี 58 ที่กำลังจะถึงและเตรียมเข้าสู่คณะกรรมการจังหวัดในคราวต่อไป โดยระหว่างนี้ผมได้เป็นเสมือนพ่อบ้าน(แม่บ้าน) จัดการข้อมูลเพื่อให้ทีมลำพูนได้เข้าไปร่วมกิจกรรมในวันที่ 13 พย ดังรายชื่อข้างต้น ซึ่งหลังจากนี้ลำพูนจะก้าวเดินสู่โหมดของการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นทั้งจากกระบวนการปฏิรูป กระบวนการสมัชชาสุขภาพ และกิจกรรมทางสังคมมากมาย ที่สุดท้ายเป้าหมายเพื่อการมุ่งพัฒนาสังคม สุขภาวะสังคมให้พร้อมส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 10 พย 57)
ปิดกิจกรรม เปิดกระบวนการ จากความมั่นคงทางอาหาร สู่กระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน
จบ ลงด้วยความชื่นมื่นครับ สำหรับเวทีสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนครั้งที่ 1 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการ สุขภาพแห่งชาติ เพื่อผลักดันให้เกิดกระบวนทางการสังคมที่มุ่งเน้นผลิตนโยบายสาธารณะแบบมี ส่วนร่วม โดยกิจกรรมตลอดทั้ง 2 วันระหว่างวันที่ 10 – 11 กันยายน ที่ผ่านมาเป็นการนำเสนอผลงาน ขุมพลังทางธรรมชาติของคนพื้นที่จังหวัดลำพูน พี่น้องชาติพันธุ์ กลุ่มองค์กรทางวิชาการ เอกชน ประชาชน และหน่วยงานภาครัฐที่ร่วมลงขัน ลงแรง ลงใจผลิตงานสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนได้อย่างน่าชื่นชมครับ
ตลอด ระยะเวลา 2 วันทุกกิจกรรมล้วนเกิดจากความต้องการของพื้นที่ “ลานสมัชชา” ซึ่งเป็นทั้งข่วง(ลาน) ที่แสดงออกถึงความมั่นคงทางอาหาร พื้นที่แสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เวทีนำเสนอผลงานความสำเร็จของคนทุกกลุ่ม(สภาองค์กรชุมชน เครือข่ายงานวิจัย เกษตรกรผู้ผลิตอาหารปลอดภัย กลุ่มอย.น้อย และเครือข่ายด้านสุขภาพ) ซึ่งล้วนเป็นกลังสำคัญในการเคลื่อนไหว สร้างแรงผลักดันให้กิจกรรมนี้มีชีวิตน่าสนใจ และน่าติดตาม ถือเป็นอีกแรงหนุนที่ทำให้เวทีทางวิชาการได้ผ่อนคลายลง ตั้งแต่วันแรกเปิดฉากด้วยการย้อนคิด ย้อนกระบวนการจัดการตนเองโดยสภาองค์กรชุมชน คุณพิรุณ จันทร์ธรรม สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง กรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ใช้เวทีสมัชชารวมสานเสวนาแสดงพลังการจัดการตนเอง ถอดบทเรียนวิถีครูบาศรีวิชัย 3 สายน้ำหลัก น้ำแม่กวง น้ำแม่ทา และน้ำลี้ ที่อาศัยวิถีธรรมชาติญาติตราพัฒนาบ้านเมือง ทั้งสร้างถนน บูรณะวัด และปลุกวิญญาณการจัดการตนเองของประชาชนตลอดสายน้ำที่ดำเนินกิจกรรม
ภาค บ่ายได้รับเกียรติจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชปัญญาโมลี เจ้าคณะจังหวัดลำพูน โปรดเมตตาเป็นองค์ประธานเปิดพื้นที่สมัชชาสุขภาพตามวิถีธรรม และเทศนาธรรมในการวางตนในยุคปัจจุบันจากนั้นจึงเป็นการจัดกระบวนการสุนทรียะเสวนา วาระความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาพวะของคนลำพูน นำโดยสถาบันวิจัยหริภุญชัย อาจารย์นพพร นิลณรงค์ นักวิชาการอิสระ กรรมการสถาบันวิจัยหริภุญชัย คุณวันเพ็ญ พรินทรากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยหริภุญชัย ตลอดจนสมาชิกและประชาชนที่ค้นหน้าบนกระบวนการเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย อยู่กันคับคั่ง ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แต่ละคนลงมือทำ ลงมือจัดการอาหารให้มั่นคงด้วยตนเอง ซึ่งวงเสวนาต่างเห็นตรงกันว่า การจัดการตนเองตามให้มีความมั่นคงทางอาหารจะต้องเริ่มที่ “ตนเอง” เริ่มจัดการตนเอง การให้ความรู้ตั้งแต่ระดับเยาวชนจะเป็นการปลูกปัญญา ปลูกความรักและความงอกงามภายใน สร้างให้พวกเขาอยู่ได้ในอนาคตอย่างมั่นคง
บรรยากาศ ยามเย็นการเสวนาเริ่มเข้มข้นขึ้นและจบลงอย่างเนิบช้า อบอุ่นบนฐานทางวัฒนธรรม การแสดงดนตรี การฉายหนังกลางแปลงตามต้นทุนทางวัฒนธรรมชาติชนของคนลำพูนเริ่มขึ้น เครือข่ายองค์กรชุมชน คุณปภังกร อัศวพิรุณ ครูภูมิปัญญาจากบ้านทาขุมเงินได้เก็บภาพบรรยากาศการเดินธรรมชาติญาติตรามา ร้อยเป็นหนังสั้นและฉายให้ดูกันคืนนั้น จนกระทั่งเช้าวันที่ 11 กันยายน ฤกษ์ดีสำหรับกระบวนการสมัชชาสุขภาพลำพูนได้เริ่มขึ้น
การ เปิดกิจกรรมสมัชชาสุขภาพลำพูนในครั้งที่ 1 พ.ศ. 2557 ได้รับเกียรติจากคุณสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เป็นสักขีพยานของการจัดกระบวนการทางสังคมในครั้งนี้ ซึ่งพิธีเปิดได้รับเกียติจาก 3 ท่านจำลอง เณรแยม ปลัดจังหวัดลำพูน คุณสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล ผู้ช่วยเลขาธิการฯ และคุณวรรณทิภา ปัญญาภรณ์ ตัวแทนเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน รัฐ วิชาการ และประชาชน ร่วมเปิดงานในครั้งนี้ ซึ่งตลอดทั้งกระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนเต็มไปด้วยความจริงจัง ขึงขัง เข้มข้น ของผู้เข้าร่วมกระบวนการสมัชชาซึ่งท้ายที่สุดที่ประชุมมีมติรับหลักการ 3 ระเบียบวาระได้แก่ 1) ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาพวะของประชาชน(คนลำพูน) 2)การจัดการน้ำมันเสื่อมสภาพโดยคนหละปูน 3) การจัดการพืชผักปลอดภัยโดยคนหละปูน ซึ่งต้องยอมรับว่าทั้ง 3 ระเบียบวาระเป็นผลของการทำงานภายในจังหวัดลำพูนที่มีอย่างต่อเนื่อง และยกระดับกิจกรรมสู่นโยบายสาธารณะ ในปีแรกนี้ถือว่าทุลักทุเลพอสมควรมีข้อเสริมหลายสิ่งที่คณะทำงานต้องเก็บ ปรับแก้ และเรียนรู้แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตลอดกิจกรรมครั้งนี้คือจิตวิญญาณแห่ง สาธารณะ ที่จะเป็นแรกผลักให้เกิดกระบวนการสมัชชาจังหวัดในระยะต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง โดยคุณจรูญ คำปันนา ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนเองก็คาดหวังว่าในปีต่อไป กระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน จะเป็นกระบวนการหน้าหมู่(สาธารณะ) ที่ทุกคนได้เข้ามามีส่วนร่วม ส่วนเป็นเจ้าของ และร่วมกันทำงานเพื่อเมืองลำพูนของเราต่อไป
แม้เวทีสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนจะจบลง แต่กระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูนถือว่าได้เริ่มจุดประกาย ทำให้ภาพของการทำงานภาคประชาชนมีความแจ่มชัดมากขึ้นในการที่จะยกระดับ กิจกรรมที่ทำอยู่ให้มีพลังมากขึ้น มีส่วนร่วมมากขึ้น และมีกระบวนการอันนำไปสู่การเป็นนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ที่พึงเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งถือเป็นที่น่าจับตาว่าลำพูนต่อจากนี้จะก้าวเดินอย่างไรในกระบวนการ สมัชชาสุขภาพจังหวัดในปีที่ 2 ต้องชวนติดตามครับ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : ทีมเลขานุการกิจฯ)
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
เรื่องเล่าคราวพานายน้ำแอ่ว
วันก่อน (10 สิงหา) พานายน้ำไปเรียนเศษ เป็นโปรแกรมสำหรับพัฒนาศักยภาพเด็ก และเสมือนพาไปพบกับ consultant ด้านเด็ก หากคิดแบบต้นทุนเวลา กับเงินที่จ่ายไป สำหรับในตอนนี้ดูแล้วมันก็เหนื่อยที่จะจ่าย แต่มองอีกแบบหนึ่ง หากเป็นแนวคิดเสมือนมีที่ปรึกษาในพัฒนาการของลูก เงินขนาดนี้ที่จะคอยติดตาม ประเมินผลพฤติกรรม และเป็นที่ปรึกษาด้านพัฒนาการของลูกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ถือว่าคุ้มท่าดีเดียว และความความเป็นมิตร เป็นคนรู้สึก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า นายน้ำ จะได้รับการพัฒนาในทิศทางที่เหมาะสม
เป็นการ ปรับตั้งพ่อและลูก เพื่อให้เขาพร้อมสำหรับการเดินทางในโลกของเขา ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างมากนักกับพ่อใบเลี้ยงเดี่ยว แต่ยังดีที่มี พ่อปู่ แม่ย่า แม่น้า แม่ยาย บรา บรา บรา ที่แม่ของเรา รังสรร ให้เกิดขึ้น (ป๊าด) จนแม่เลี้ยงจอย คู่ชีวิตของเรา แทบจะไม่ต้องทำอะไรมากในฐานะแม่ เพียงแต่เติมเต็ม บางทีก็ออกแนวเป็นพี่สาว หรือเป็นลูกคนโตมากกว่า อิอิ
เอาเป็นว่า พัฒนาการของลูกเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นการกระตุ้นศักยภาพเราด้วยทางหนึ่งที่จะต้องจัดการเวลา เพื่อให้นายน้ำเติบโตเป็น "พลเมือง" ที่ดีของสังคม หน้าที่ สิบปี ของเราคือสิ่งนี้แหละ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 11 สิงหา)
สรุปทริปเติมเต็มนโยบายสาธารณะ
ขึ้นรถ ลงเรือ เดินเท้า นั่งเครื่อง รอรถไฟ อัดใน air port link ช่างเป็นชีวิตที่สนุกและท้าทายอย่างไม่อาจบรรยายได้หมด
ปิดฉากแรก และพร้อมเปิดฉากต่อไปครับสำหรับวันนี้(12 กย 57) การพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ตามที่ผมได้ post ไว้ก่อนหน้านี้ทริ ปนี้ค่อนข้างสมบุกสมบรร แบบบอกไม่ถูกของคุณที่สุดคือน้องโต้ง และพี่เปิ้ล สช.ที่เอื้อเฟื้อห้องน้ำให้ได้อาบน้ำในช่วงเช้า ไม่งั้นก็คงดูไม่จืดทั้งวันเลยครับสำหรับวันนี้
เริ่มต้นผมเดินทางจากเชียงใหม่ด้วยสายการแล่น(เพราะอยากนั่งรถหรอสักครั้งใน ชีวิต) จากเชียงใหม่ถึง กทม.ด้วย นครชัยแอร์แบบดีที่สุดที่มี ถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานับตั้งแต่ไม่ได้ทำงานเทศบาลแบบที่ ได้อยู่บนรถแบบเต็มที่ ตอนมาพอช.ก็มาแบบรถเหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าไม่ได้บรรยากาศเท่าไหร่เพราะนั่งแบบเกรงใจ แต่คราวนี้นั่งเดี่ยวไม่เกรงใจใคร เสียอย่างเดียวคือรถ ยังไงก็คือรถ นั่งจนตูดชากันไปเป็นข้างๆคนแขนขายาวก็เก้งก้างเป็นพิเศษพิเศษ
จากรถผมลงต่อไปที่ BTS(หมอชิต) ไม่รู้ทำไมพอบอกผมจะไปต่อ BTS นางฟ้าบนทางเรียบมีอมยิ้ม อื่มผมคงพูดอะไรผิดแน่ๆ แต่เนื่องด้วย GPS แบตหมด(ทุกทีเลย) จึงตัดสินในขึ้นรถเมย์แดง ลงหมอชิต BTS จ่ายไป 6.50 บาท ไม่รู้หน้าเรามีไรติด พอลงรถทัวร์มาก็โดนพาไปนั่งเท็คซี่ พาไปมอไซ ไปใกล้ๆ จะเก็บเรา 60 บาท แพงไปม้าง ทำยังกะฉานไม่เคยมานิ กทม.
จาก BTS ลง พญาไท เดินต่ออีกนิดเสาะหากแยกอุรุพงษ์ พื้นที่การเมืองที่เคยเดินผ่านตอนาประชุมเมื่อปีที่แล้ว ได้เจอโรงเรียนชื่อดูบ้านๆ แต่อินเตอร์มากมาย แถมมีผลงานซะด้วยฮั่นแน่ ค้นพบอยู่อย่างหนึ่งรับระหว่างการเดินทางคือ ชีวิตในเมืองนอกจากจะแข่งขันแล้ว ยงไม่ค่อยมีใครรู้ทางด้วย นี่เองที่น่าจะเรียกว่า "ป่าคอนกรีต" ป่าทึบเสียด้วย พอเดินทางถึงโรงแรมอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ดูดี ดูได้บ้างครับ
จากนั้นจึงร่วมฟังบรรยาย แลกเปลี่ยนความคิดเสนอประเด็นสู่การพัฒนาและแน่นอนว่าต้องนำเรื่องดีๆ กลับมาเพื่อให้ขบคิดกันต่อในจังหวัด และคราวนี้ผมคิดว่าจะใช้กลไกทางเอกสารเต็มแบบเนื่องจากที่ผ่านมาผมเองวาง position ตัวเองไว้น้อยไป ทำให้งานไม่เป็นระบบ
จากงานใหญ่ลงเรือได้น้องก๊อกครับ ใจดีเอื้อเฟื้อค่าเรือให้ 10 บาทขอบคุณมากๆ ได้สัมผัสความทุกยากและได้ลงเรือแบบนี้ครั้งแรก กลัวที่สุดเลยคือกลัวตกน้ำ ไม่ใช่ว่ายน้ำไม่เป็นนะครับ แต่...... เห็นแล้วสุดบรรยายจริงๆ
จากได้โชคดีมากครับที่ได้พบกับศิลปินใหญ่ คุณอินสนธิ์ วงศ์สาย ศิลปินที่เริ่มจากวาดรูปทุกวัน จนเก่ง และศึกษาจนได้ดี แต่การเรียนก็เป็นเพียงประตูที่นำไปสู่การเดินทางค้นหาชีวิตในโลกกว้างและ สร้างงานที่ทั่วโลกยอมรับ เพื่อนๆที่อยู่ในกทม. เชิญชวนไปดูงานของคนลำพูนนะครับ ที่ หอศิลปะสมัยใหม่ กทม. แถวสยามดิสครับ
จากนั้นก็มาเจอกมวลมหาประชาติ่งเกาหลี ที่รออยู่แถวสยาม เหมือนจะรอดูอะไรบางอย่างที่พวกเธอคลั่งกันได้ง่ายๆ งานนี้สาวๆเพียบครับ เห่อๆๆ แต่ด้วยเวลามีน้อย จึงรีบตรงดิ่งไป แอร์พอตลิ้ง พึ่งรู้ว่าเป็นของการรถไฟ พอเห็นตาก็รู้สึกไม่มั่นใจ เห่อ ๆ ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน พอขึ้นไปก็เป็นเช่นนั้นครับ ไม่รู้สึกถึงความทันสมัย ปลอดภัย และคำว่าสะดวก อาจเป็นเพราะผมเองตาไม่ถึงหนะครับ ต้องขออภัยด้วยแต่ก็เชื่อว่าอนาคตคงมีการปรับโฉมและทำการไรให้คนไทยนะครับ สำหรับเรื่องเวลาถือว่าตรงดี ไม่เสีย ไม่สาย ติดที่ห้องโดยสารอาจแคบไปหากนับสำหรับ คนทั่วไปที่เขาจะเดินทางร่วมด้วย
จากนั้นเข้าเช็คอินสุวรรณภูมิ เตรียมเข้าสู่โหมดการเดินทางกลับ ทำแบบสอบถามเรื่องจุดแข็ง ซึ่งขากลับจะอ่านและวิเคราะห์ตัวเองให้ละเอียดมากมากขึ้น และก็นั่งเขียนสรุปทริปให้เพื่อนทราบไปด้วย ถือเป็นการประมวลความทรงจำที่ดีๆที่เกิดขึ้น ถือเป็นการพัฒนาตนเองในทางหนึ่ง ทางความคิด และทางการเดินทางที่ท้าทายตัวเอง เพื่อนๆหลายท่านอาจรู้สึกว่าผมมีเงินถุงเงินถัง หรือชอบทำตัวเว่นเวอ ไม่ติดดิน แต่ผมเองถือว่าเมื่อผมมีโอกาส ผมใช้โอกาสนั้นเพื่อสร้างการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสหนึ่งในชีวิตจะมี เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโอกาสเหล่านี้จะเกิดซ้ำอีกหรือไม่
เอาหละ กลับก่อนนะครับ สุวรรณภูมิ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : ห้องรับรองบางกอกแอร์)
https://www.facebook.com/naiaos/timeline/story?ut=43&wstart=1388563200&wend=1420099199&hash=-4053388949100352854&pagefilter=3
เช้านี้จัดการต้นกล้วยในบ้าน จัดใส่หม้อให้แม่ขายมาหลายวันแล้ว
เช้านี้จัดการต้นกล้วยในบ้าน จัดใส่หม้อให้แม่ขายมาหลายวันแล้ว ได้เงินมาพอประมาณ ผมเป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาปัญญาเชิงประจักษ์ความรู้ที่เกิดจากการลงมือ จึงได้ลงมือทำหลายอย่างที่อยากทำ และอยากรู้ หลายครั้งที่ได้ยิน massage จากผู้รู้บ้างก็เป็นผู้ปฏิบัติ บางก็เป็นผู้รู้ทีคิดว่ารู้ แต่เมื่อฟังอย่างไคร่ครวญ ครุ่นคิด ก็มักได้สิ่งดีๆเสมอ เพราะผมถือว่าเราเองยังต้องการปัญญาอีกมาก บางเรื่องเป็นการซ้ำเสริม บางเรื่องรับเจตนาดีที่ sender ต้องการมอบให้จากใจ ซึ่งหลังจากเก็บสาระซึ่งที่ได้ฟังก็เสมือนการได้ฝึการฟัง อย่างไม่พยายามสร้างข้อโต้แย้งเพื่อให้เกิดปัญหา และต้องการปัญญาโดยแท้จริงก็มักพบช่องทางดีๆเสมอ
ตอนนี้ในสวนก็ต้องบอกว่ายังทำรายได้เพียงหลักร้อย อาจเป็นเพราะผมทำสวนแบบ part-time ซึ่งผลที่เกิดแต่เหตุ รายได้จึงมาแบบบางเวลา แต่ในอนาคตผมต้องยกระดับผลผลิตให้ออกได้ทุกวัน ใช้หลักคิดทำงานให้น้อยลง ผลผลิตที่มากขึ้น มีมูลค่าที่สูงขึ้น และที่สำคัยต้องเพิ่ม channel ให้หลากหลายขึ้น
ถือเป็นการซ้ำเสริมทบทวนตนเองในช่วงเวลาส่วนตัวที่พอมี จัดการตน จัดการบ้าน จัดการสวน ผมเองตั้งเป้าหมายส่งมอบส่งคมที่ดี บ้านเมืองที่ดีให้ลูกให้หลาน แต่เสมือนว่าก่อนจะยกระดับผู้คนต้องยกระดับจิตใจแห่งตนเอง บ้านเมืองที่ดีที่จะส่งมอบ ต้องเริ่มจากบ้านหลังน้อยหลังนี้ พื้นที 10 ไร่ ที่จะส่งมอบสู่ทายาทของผมไม่ว่าลูก หลาน หรือน้องชายเราจะต้องทำทุกตารางนิ้วของที่ดีให้ดีเสียก่อน เพราะนี่จะเป็นพื้นที่รูปธรรมความสำเร็จที่ส่งต่อได้อย่างชัดเจน (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 1 ตุลา 57)
ตอนนี้ในสวนก็ต้องบอกว่ายังทำรายได้เพียงหลักร้อย อาจเป็นเพราะผมทำสวนแบบ part-time ซึ่งผลที่เกิดแต่เหตุ รายได้จึงมาแบบบางเวลา แต่ในอนาคตผมต้องยกระดับผลผลิตให้ออกได้ทุกวัน ใช้หลักคิดทำงานให้น้อยลง ผลผลิตที่มากขึ้น มีมูลค่าที่สูงขึ้น และที่สำคัยต้องเพิ่ม channel ให้หลากหลายขึ้น
ถือเป็นการซ้ำเสริมทบทวนตนเองในช่วงเวลาส่วนตัวที่พอมี จัดการตน จัดการบ้าน จัดการสวน ผมเองตั้งเป้าหมายส่งมอบส่งคมที่ดี บ้านเมืองที่ดีให้ลูกให้หลาน แต่เสมือนว่าก่อนจะยกระดับผู้คนต้องยกระดับจิตใจแห่งตนเอง บ้านเมืองที่ดีที่จะส่งมอบ ต้องเริ่มจากบ้านหลังน้อยหลังนี้ พื้นที 10 ไร่ ที่จะส่งมอบสู่ทายาทของผมไม่ว่าลูก หลาน หรือน้องชายเราจะต้องทำทุกตารางนิ้วของที่ดีให้ดีเสียก่อน เพราะนี่จะเป็นพื้นที่รูปธรรมความสำเร็จที่ส่งต่อได้อย่างชัดเจน (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 1 ตุลา 57)
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง
รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียงการพร่ำเพ้อ หรือคิดฝันสร้างสรรค์สิ่งใดใหม่เลย เพียงแต่เป็นการเก็บเล็กผสมน้อย ค่อยลงมือทำ และดื่มด่ำกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นครับ
เช้านี้เก็บผักเก็บไม้ในสวนเล็กๆน้อยๆมาขายหน้าบ้าน(เลื่อนตำแหน่งให้แม่ เป็น ผู้จัดการตูบกาดอีกตำแหน่งหนึ่ง) แกเป็นคนชอบขายของครับ ผมเลยคิดว่าน่าจะได้แนวคิดทุนนิยมจากแก เพราะโลกนี้ต้องหมุนด้วยเงินตรา แต่หากปิดบ้านไม่เล่นโซเชียล ไม่ขับรถ ไม่สนทนากับผู้คนอยู่แต่ในมุมของตนเอง ก็ใช่เรื่องยากที่จะอยู่แบบพออยู่พอกินแบบสุดโต่ง แต่หากยึดหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยึดหัวใจของหลักการนี้ได้ ต้องจัดการเรื่องเงิน(ทุน) ให้ได้เสียก่อนแล้วทุกอย่างก็จะดีตามมา
ผมตีความหลักปรัชญาในมุมนี้ และผมเชื่อว่านี่แหละทำให้เราอยู่ได้แม้จะเป็นเสรีนิยม ทุนนิยม หรืออนุรักษ์นิยม ว่าไปแล้วผักหลังบ้านเก็บขายวันหนึ่งก็ได้ไม่กี่ร้อยครับ แต่ผมคิดว่าเรามีตลาดหลายทาง ขายสด แปรรูป และขาย Know-how จริงแล้วก็ต้องบอกว่าผมได้รับอานิสงฆ์จากเฟสบุ๊คนี้แหละครับที่เหมือนได้นำ งานของตัวเองไปออกให้พี่ๆ น้องๆ ที่เคารพรัก ได้เห็นถึงมุมมองที่อาจเป็นประโยชน์และมักได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหลาก หลายที่ แต่ก็ถือว่าไปไกลเท่าที่ความสำเร็จเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ครับ
ถึงวันนี้ผมยังมุ่งมั่นที่จะผลิตผักกินเอง ผลิตเหมือนที่เรากิน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สร้างความมั่นคงทางอาหาร เหมือนคุณโจน จันใด ผมไม่เคยเจอแกนนะครับ แต่ผมเชื่อว่าการสร้างความมั่นคงนอกจากจะเป็นการเก็บสะสมเมล็ดแล้ว การมอบวิญญาณแก่พืชด้วยการปลูกเป็นการสร้างความมั่นคงที่ยังยืนมากกว่า (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 ตุลาคม 2557)
รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียงการพร่ำเพ้อ หรือคิดฝันสร้างสรรค์สิ่งใดใหม่เลย เพียงแต่เป็นการเก็บเล็กผสมน้อย ค่อยลงมือทำ และดื่มด่ำกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นครับ
เช้านี้เก็บผักเก็บไม้ในสวนเล็กๆน้อยๆมาขายหน้าบ้าน(เลื่อนตำแหน่งให้แม่ เป็น ผู้จัดการตูบกาดอีกตำแหน่งหนึ่ง) แกเป็นคนชอบขายของครับ ผมเลยคิดว่าน่าจะได้แนวคิดทุนนิยมจากแก เพราะโลกนี้ต้องหมุนด้วยเงินตรา แต่หากปิดบ้านไม่เล่นโซเชียล ไม่ขับรถ ไม่สนทนากับผู้คนอยู่แต่ในมุมของตนเอง ก็ใช่เรื่องยากที่จะอยู่แบบพออยู่พอกินแบบสุดโต่ง แต่หากยึดหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยึดหัวใจของหลักการนี้ได้ ต้องจัดการเรื่องเงิน(ทุน) ให้ได้เสียก่อนแล้วทุกอย่างก็จะดีตามมา
ผมตีความหลักปรัชญาในมุมนี้ และผมเชื่อว่านี่แหละทำให้เราอยู่ได้แม้จะเป็นเสรีนิยม ทุนนิยม หรืออนุรักษ์นิยม ว่าไปแล้วผักหลังบ้านเก็บขายวันหนึ่งก็ได้ไม่กี่ร้อยครับ แต่ผมคิดว่าเรามีตลาดหลายทาง ขายสด แปรรูป และขาย Know-how จริงแล้วก็ต้องบอกว่าผมได้รับอานิสงฆ์จากเฟสบุ๊คนี้แหละครับที่เหมือนได้นำ งานของตัวเองไปออกให้พี่ๆ น้องๆ ที่เคารพรัก ได้เห็นถึงมุมมองที่อาจเป็นประโยชน์และมักได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหลาก หลายที่ แต่ก็ถือว่าไปไกลเท่าที่ความสำเร็จเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ครับ
ถึงวันนี้ผมยังมุ่งมั่นที่จะผลิตผักกินเอง ผลิตเหมือนที่เรากิน ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สร้างความมั่นคงทางอาหาร เหมือนคุณโจน จันใด ผมไม่เคยเจอแกนนะครับ แต่ผมเชื่อว่าการสร้างความมั่นคงนอกจากจะเป็นการเก็บสะสมเมล็ดแล้ว การมอบวิญญาณแก่พืชด้วยการปลูกเป็นการสร้างความมั่นคงที่ยังยืนมากกว่า (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 ตุลาคม 2557)
ตอบขอบคุณมิตรสหาย และแรงผลักดันในวันเกิด
ทุกวันเกิดสิ่งที่ผมพยายามทำทุกปีคือ "ลืมมันซะ" ไม่ค่อยให้ความสำคัญไม่ให้การจดจำมากนัก เหตุหนึ่งเกิดจากอายุ เอ้ย ไม่ใช่ เนื่องจากวันนี้มันไม่ใช่วันสำคัญของผมเลย เป็นวันสำคัญคนสำคัญคือผู้หญิงชุดแดง และผู้ชายชุดหม้อห้อม ที่อยู่แต่ละมุมของภาพ เพราะพวกเขาเป็นผู้ให้ชีวิตแก่ผม ให้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้แรงขับดัน ขอบคุณคนแรกก็คือ พ่อ แม่ และเป็นผู้ที่ผมระลึกเสมอในทุกห่วงวาระสำคัญนี้ของชีวิตพวกเขาทั้งคู่ คงไม่ใช่การบอกรักออนไลน์นะครับ เพราะผมก็พยายามให้ความสำคัญกับท่านทุกวัน ...(เอาหละห่วงคำนึงท่านแรกผ่านไป )
แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผมเ ป็นผมทุกวันนี้(อย่างจริงจั ง) ก็หนีไม่พ้นเจ้าตัวเล็ก ที่ยุ่ง ซน เฮียบ ไม่รู้สมัยเรายังเด็กเป็นอย ่างงี้ไหม แต่ปวดกะโหลกกับแกมาจริงๆ แม้ชีวิตของเขาจะไม่ได้ราบร ื่น ราบเรียบ แต่เขาก็เป็นเด็กฉลาดพอตัวท ี่จะเอาชีวิตให้รอดปลอดภัย และเชื่อว่าโตขึ้นเขาจะเป็น คนดี และทำประโยชน์ให้แก่ทุกที่ท ี่เขาอยู่ เขาอาศัย ด้วยแรงผลักดันนี้ทำให้ผมคิ ด และลงมือทำหลายอย่าง อาจเป็นมวลวิกฤตที่ทำให้ผมส ับสนกับสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่รัก สิ่งที่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อใคร เพื่อคนนี้ เพื่อเป็นการปูทางให้วันข้า งหน้าของเขา ให้พร้อมรับกับเรื่องที่ดี และร้ายที่จะเข้ามา ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเจ้าตั วน้อยให้บทเรียน ให้ความรัก ให้พลังในการก้าวเดินต่อไปส ำหรับคนคนหนึ่ง ในฐาน "พ่อ"
ท้ายที่สุดต้องขอบคุณคุณทุก ท่านที่ให้เกียรติในเฟสบุ๊ค ผม เข้ามา like เข้ามาติดตาม เข้ามาให้กำลังใจ เข้ามาสนับสนุน เป็นครั้งคราว หรือเหนียวแน่น ผมตั้งใจให้เฟสบุ๊คผมเป็นเส มือนโปรไฟล์ที่ใครที่สนใจใน ตัวผม ทัศน์ผม หรือแม้แต่จะสมัครงาน(อันนี ้ได้ถูกทดลองแล้วบ่อยครั้ง) เขาจะเข้ามา ซึ่งผมเองก็ไม่ได้แต่งเติมแ ต่เกินงาม ปรับแต่พอควร เพื่อให้เป็นพื้นที่แสดงออก ถึงตัวตน ให้ผู้คน หรือกัลยาณมิตร ได้เข้าใจและรู้จักวิธีการใ ช้งาน เจ้าคนคนนี้ ซึ่งผมก็หวังเพียงให้ตนเองไ ด้มีโอกาสเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และสร้างประโยชน์สุข ตราบเท่าที่ตนเองจะมีกำลังเ พียงพอต่อไป
และท้ายที่สุดของที่สุด ขอขอบพระคุณในไมตรีจิต แห่งมวลมติรในโลกโซเชียลครั
4 เป้าหมาย 3 ความสำเร็จ สำรวจตัวเองเมื่อครบปี
ครบปีตามสัญญา เลยมา 3 วันนับจากปีที่ประกาศไว้ปีที่แล้ว ปีนี้มีความผ่อง มีความโล่งมากขึ้น ถือว่า ทำได้ครึ่งหนึ่ง
๑) ลูกค้าประกันชีวิต 150 คน เป้าหมายนี้ถือว่าไม่บรรลุ ไม่อยากบอก หรืออยากบอกแบบอายตัวเองว่า เราอาจไม่ใช่คนในสายนี้ จริงอยู่ ว่าเราเป็นนักบริการ มีจิตที่อยากช่วยเหลือ แต่อาจเพราะเราเข้าไม่ถึงแก่แท้ของงานประกัน งานบริการ หรือเราบริการนอกเหนือศักยภาพ ความสำเร็จนี้จึงไม่เกิด
.
๒) แหล่งอาหารปลอดภัยตำบลอุโมงค์ เป้านี้ดูใหญ่มากแต่ถือว่าทำได้เกินครึ่ง เพราะระยะเวลากว่าปีที่ผ่านมา ผมได้ผลิตผักปลอดภัย ผักพื้นบ้าน ออกสู่ตลาดสร้างรายได้ และทำให้เกิดการเข้าถึงมากขึ้น อาจยังไม่ถือว่าตัวเองสำเร็จ หรือเป็นที่รู้จักในวงการ แต่ปีต่อไป เราต้องขยับเป้าหมายให้กว้างขวาง และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เบื้องต้นถือว่าเปิดตัวได้แล้ว
.
๓) เชื่อมงานภาคีหนุนจังหวัดสุขภาวะ งานนี้ถือว่าเข้าเป้าเต็มๆ และเสมือนลังเล กังวลในหลายด้าน เพราะลำพูนถนัดในการทำงานเฉพาะองค์กร การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะอาจต้องอาศัยการวางแผน หรือการเปิดใจอย่างเต็มที่ แต่กระนั้น ตอนนี้ถือว่าลำพูนได้เริ่มก่อตัวในภาระกิจร่วมกันแล้ว ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมเองก็สุดคาดเดา เพราะผมเองก็เสมือนเด็กน้อยที่คอยติดตามเฝ้ามอง คาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในสังคมนี้ แต่จะมากน้อย คงต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่จะได้คุยกัน
.
๔) สุดท้ายเป้าหมายการพัฒนาตนสู่ตำแหน่งผู้บริหาร ด้วยความคาดหวังว่าจะทำงานให้สังคม แต่กระนั้นสังคมนี้ยังมีคนเก่งอีกมาก ระหว่างทางของปี ผมได้ฝึกฝน อบรม และเรียนรู้กระบวนการต่างๆ มากมาย ถือว่าได้โอกาสดีๆในการเพิ่มศักยภาพบ่อยครั้ง ต้องขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่เอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งดีๆเหล่านี้ ณ วันนี้ผมเองไม่คาดหวังว่าจะได้ทำงาน หรือไม่ทำงาน แต่ตั้งใจ ตั้งมั่นว่าหากได้เริ่มทำงานใดๆ ก็จะต้องสวมวิญญาณสาธารณะลุย และลงมือทำจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายให้จงได้
.
ภาพรวมของเป้าหมายปีที่ผ่านมา หลายเรื่องทำได้ บางเรื่องทำแบบกึ่งๆ และไม่กี่เรื่องที่ไม่สำเร็จ แต่ทุกเรื่องก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ วางแผนและปรับเกมส์ไป ช่วงวันเกิดผมได้คำอวยพร ดีๆ ข้อคิดมากมายที่ทำให้เราพัฒนาศักยภาพก้าวไปสู่ "ศักยภาพใหม่" ขอบคุณโอกาสจากทุกท่านที่เอื้ออำนวยให้ และด้วยจิตที่ตั้งมั่นทำงานเพื่อผองชน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการส่งมอบสังคมที่ดีที่สุด ให้แก่ลูกหลานที่เดิมตามเรามา (บ้านไร่พันผัก:3 พย 57)
๑) ลูกค้าประกันชีวิต 150 คน เป้าหมายนี้ถือว่าไม่บรรลุ ไม่อยากบอก หรืออยากบอกแบบอายตัวเองว่า เราอาจไม่ใช่คนในสายนี้ จริงอยู่ ว่าเราเป็นนักบริการ มีจิตที่อยากช่วยเหลือ แต่อาจเพราะเราเข้าไม่ถึงแก่แท้ของงานประกัน งานบริการ หรือเราบริการนอกเหนือศักยภาพ ความสำเร็จนี้จึงไม่เกิด
.
๒) แหล่งอาหารปลอดภัยตำบลอุโมงค์ เป้านี้ดูใหญ่มากแต่ถือว่าทำได้เกินครึ่ง เพราะระยะเวลากว่าปีที่ผ่านมา ผมได้ผลิตผักปลอดภัย ผักพื้นบ้าน ออกสู่ตลาดสร้างรายได้ และทำให้เกิดการเข้าถึงมากขึ้น อาจยังไม่ถือว่าตัวเองสำเร็จ หรือเป็นที่รู้จักในวงการ แต่ปีต่อไป เราต้องขยับเป้าหมายให้กว้างขวาง และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เบื้องต้นถือว่าเปิดตัวได้แล้ว
.
๓) เชื่อมงานภาคีหนุนจังหวัดสุขภาวะ งานนี้ถือว่าเข้าเป้าเต็มๆ และเสมือนลังเล กังวลในหลายด้าน เพราะลำพูนถนัดในการทำงานเฉพาะองค์กร การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะอาจต้องอาศัยการวางแผน หรือการเปิดใจอย่างเต็มที่ แต่กระนั้น ตอนนี้ถือว่าลำพูนได้เริ่มก่อตัวในภาระกิจร่วมกันแล้ว ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมเองก็สุดคาดเดา เพราะผมเองก็เสมือนเด็กน้อยที่คอยติดตามเฝ้ามอง คาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในสังคมนี้ แต่จะมากน้อย คงต้องขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่จะได้คุยกัน
.
๔) สุดท้ายเป้าหมายการพัฒนาตนสู่ตำแหน่งผู้บริหาร ด้วยความคาดหวังว่าจะทำงานให้สังคม แต่กระนั้นสังคมนี้ยังมีคนเก่งอีกมาก ระหว่างทางของปี ผมได้ฝึกฝน อบรม และเรียนรู้กระบวนการต่างๆ มากมาย ถือว่าได้โอกาสดีๆในการเพิ่มศักยภาพบ่อยครั้ง ต้องขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่เอื้ออำนวยให้เกิดสิ่งดีๆเหล่านี้ ณ วันนี้ผมเองไม่คาดหวังว่าจะได้ทำงาน หรือไม่ทำงาน แต่ตั้งใจ ตั้งมั่นว่าหากได้เริ่มทำงานใดๆ ก็จะต้องสวมวิญญาณสาธารณะลุย และลงมือทำจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายให้จงได้
.
ภาพรวมของเป้าหมายปีที่ผ่านมา หลายเรื่องทำได้ บางเรื่องทำแบบกึ่งๆ และไม่กี่เรื่องที่ไม่สำเร็จ แต่ทุกเรื่องก็ต้องกลับมาวิเคราะห์ วางแผนและปรับเกมส์ไป ช่วงวันเกิดผมได้คำอวยพร ดีๆ ข้อคิดมากมายที่ทำให้เราพัฒนาศักยภาพก้าวไปสู่ "ศักยภาพใหม่" ขอบคุณโอกาสจากทุกท่านที่เอื้ออำนวยให้ และด้วยจิตที่ตั้งมั่นทำงานเพื่อผองชน โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการส่งมอบสังคมที่ดีที่สุด ให้แก่ลูกหลานที่เดิมตามเรามา (บ้านไร่พันผัก:3 พย 57)
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ผมกำลังชั่งใจระหว่างการเป็นเราที่ดีที่สุด หรือการเป็นเขาที่ดีที่สุด
ผมกำลังชั่งใจระหว่างการเป็นเราที่ดีที่สุด หรือการเป็นเขาที่ดีที่สุด
.
ฟังๆดูเสมือนผมมีเรื่องที่ชอบทำให้ปวดหัว มีเรื่องให้คิดมากอยู่เสมอ แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมครุ่นคิดเสมอว่า การเป็นเราที่ดีที่สุด(คือการเป็นตัวของตัวเอง ที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด และไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ตัดส่วนเสีย พัฒนาส่วนดี) หรือการเป็นเขาที่ดีที่สุด (การเป็นคนในกรอบที่ดีที่สุด เพื่อเข้าไปสู่ฐานแท่นที่วางตัวตนอันเหมาะสม ซึ่งเกิดจาการขัดเกลา เพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์ตามอุดมคติ) สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
.
ผมชอบปรัชญาของนิ้วทั้ง 5 แต่ละนิ้วมีความสั้นยาวต่างกัน ต่างนิ้วต่างมีประโยชน์แห่งกันและกัน แทนกันไม่ได้ ขาดจากกันก็ไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเสมือนต้นคิดที่ยิ่งคิดวงวน ก็ยิ่งทำให้แอนเอียงไปสู่การเป็นเราที่ดีที่สุด(ความคิดแรก) โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ซ้ายจัด หรือขวาจัดสุดโต่งนะครับ แต่ผมเชื่อในวิถีแห่งตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นผมคงไปอยู่ในระบบ หรืออยู่ในแหล่งที่มีงาน มีเงิน มีสุข ตามสภาพที่หลายคนในสังคมกำลังดำเนินชีวิตอยู่
.
แต่เสมือนว่าเมื่อผมเลือกที่จะเป็นตัวผมที่ดีที่สุด เป็นตัวเราที่ดีที่สุด การมุ่งหน้าค้นหาจุดแข็งของตนเองจึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะผมเชื่อในปรัชญาของการเสริมจุดแข็ง และพัฒนาให้เป็นประโยชน์ที่สุด ผมเองอาจไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรี ที่ดีที่สุด แต่ผมอาจเป็นคนเก็บขยะที่ตั้งใจที่สุด ซึ่งแม้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่น่าพิสมัย แต่ก็เป็นหน้าที่ซึ่งสังคมขาดไม่ได้(จำเป็นต้องมี และจำเป็นต้องเคารพในศักดิศรีกันและกัน)
.
ฟังๆดูเสมือนผมมีเรื่องที่ชอบทำให้ปวดหัว มีเรื่องให้คิดมากอยู่เสมอ แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมครุ่นคิดเสมอว่า การเป็นเราที่ดีที่สุด(คือการเป็นตัวของตัวเอง ที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุด และไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ตัดส่วนเสีย พัฒนาส่วนดี) หรือการเป็นเขาที่ดีที่สุด (การเป็นคนในกรอบที่ดีที่สุด เพื่อเข้าไปสู่ฐานแท่นที่วางตัวตนอันเหมาะสม ซึ่งเกิดจาการขัดเกลา เพื่อให้เป็นคนที่สมบูรณ์ตามอุดมคติ) สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
.
ผมชอบปรัชญาของนิ้วทั้ง 5 แต่ละนิ้วมีความสั้นยาวต่างกัน ต่างนิ้วต่างมีประโยชน์แห่งกันและกัน แทนกันไม่ได้ ขาดจากกันก็ไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นเสมือนต้นคิดที่ยิ่งคิดวงวน ก็ยิ่งทำให้แอนเอียงไปสู่การเป็นเราที่ดีที่สุด(ความคิดแรก) โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ซ้ายจัด หรือขวาจัดสุดโต่งนะครับ แต่ผมเชื่อในวิถีแห่งตนเอง เพราะไม่เช่นนั้นผมคงไปอยู่ในระบบ หรืออยู่ในแหล่งที่มีงาน มีเงิน มีสุข ตามสภาพที่หลายคนในสังคมกำลังดำเนินชีวิตอยู่
.
แต่เสมือนว่าเมื่อผมเลือกที่จะเป็นตัวผมที่ดีที่สุด เป็นตัวเราที่ดีที่สุด การมุ่งหน้าค้นหาจุดแข็งของตนเองจึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะผมเชื่อในปรัชญาของการเสริมจุดแข็ง และพัฒนาให้เป็นประโยชน์ที่สุด ผมเองอาจไม่ได้เป็นนายกเทศมนตรี ที่ดีที่สุด แต่ผมอาจเป็นคนเก็บขยะที่ตั้งใจที่สุด ซึ่งแม้จะเป็นตำแหน่งที่ไม่น่าพิสมัย แต่ก็เป็นหน้าที่ซึ่งสังคมขาดไม่ได้(จำเป็นต้องมี และจำเป็นต้องเคารพในศักดิศรีกันและกัน)
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 1)
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 1)
จากลำพูนสู่ไมด้า ซีตี้ รีสอร์ท หลักสี่ การเดินทางคราวนี้มีหลายเรื่องที่ได้เรียนรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นก่อนการเข้าร่วม เวทีออกแบบการสื่อสาร ผมเองเดินทางหลายครั้งครับ แต่ครั้งนี้ถึงใจถึงอารมณ์ที่สุด(ฮ่าๆๆๆ)
.
หลังจากการประชุมกับทีมขับเคลื่อนสมัชชาสุขภาพลำพูนจบลงมีการเฟ้นหาทีมงาน เพื่อลงไปเรียนรู้วิธีการรับมติสมัชชาติในวันที่ 13 พย นี้จบลง ผมก็มุ่งหน้าสู่ กทม. ก่อนที่จะถึงที่พัก ผมแวะเดินเที่ยวแถวดอนเมืองครับ
.
การเดินเที่ยวของผมอาจแปลกที่ชอบเดินไปตามแหล่งชุมชน พื้นที่ชีวิต ได้เห็นทุกข์สุข ของผู้คน ผมเดินจาก รร.อมารา ย้อนไปหลัก 4 ระยะทางก็ 5 กิโลครับแต่เหมือนไกลมากเพราะกำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ท่าจะใช่) ซึ่งระหว่างทางผมเห็นพบป้ายที่บ่อยสุดคือ "พื้นที่กองทัพอากาศ" นึกไปก็รู้สึกว่าพื้นที่ของทหารนี่ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
.
ระหว่างทางเห็นวิถีชีวิตผู้คนข้างทาง เสียดายแบทหมดเลยไม่ได้ถ่ายภาพมา ที่ประทับใจสุดเห็นจะเป็น "เป็ดดอนเมือง" ที่เลี้ยงกันข้างถนน ระหว่างถนนกำแพงเพชร6 และ ถนนเชิดวุฒกาศ ซ่งมีเหมือนคูน้ำเล็กๆ พวกเป็ดน้อยก็อยู่กันอย่างน่ารัก เรียบร้อย ดูแล้วช่างขัดตากับภาพความเป็นดอนเมือง ความเป็นเมืองใหญ่ เสียจริง
.
เดินไปถึงคลังเก็บน้ำมัน ก็ไปต่อไม่ได้เพราะต้องเดินข้ามถนนใหญ่เลยตัดสินใจเดินเลียบไปซึ่งน่าจะเป็น ชุมชนคลองแปรมนี่นั่นผมได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่แออัด แต่ถือว่าเขามีการจัดการสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี(ตามกำลัง) แล้วทะลุออกที่ชุมชนแฟต จนสุดท้ายไปต่อไม่ไหว(กลัวหลง) จึงต่อมอไซถึงที่พัก(สนุกมาก แต่แม่บ้านออกแนวห่วงมากครับ)
.
ในคืนก่อนการประชุมผมได้คุยกับ อ.นิรันดร์ ซึ่งเป็นประธาน นนส.57 เป็นตัวแทน จ.เชียงราย ถึงทิศทางการร่วมงานสมัชชาชาติในบทบาทนักสานพลังและนำเสนอแนวคิดในการออกแบบ สื่อให้กับท่านเพื่อแลกเปลี่ยนและพัฒนา ซึ่งก็ถือว่าได้วอร์มความคิดส่วนหนึ่ง โดยหลักความคิดที่ผมเสนอไว้มี 4 ภาคคือ
1) มีการประสานความร่วมมือของสื่อ ทั้งในระดับ สช. และสื่อสาธารณะในพื้นที่
2) การแลกเปลี่ยนกิจกรรมผ่านงานเขียน เรื่องเล่า เพื่อเห็นทุกข์ เห็นสุข เห็นพลังของการเคลื่อนไหวในกระบวนการสมัชชา
3) การร่วมวางแผนงานร่วมกัน ในส่วนนี้ผมไม่ได้เสนอเพราะดูวงแล้วเป็นการนำเสนอที่ยกระดับกว่าเป้าหมายนี้
4) การร่วมกันเขย่าการสื่อสาร ด้วยสื่อออนไลน์ที่ทุกคนมีในมือ
.
ซึ่งทั้งหมดเป็นเนื้อหาที่ผมเตรียมมาแต่พอเอาเข้าจริง สิ่งที่ผมเตรียมบางสิ่งก็ใช้ได้ บางสิ่งก็ใช้ไม่ได้ เพราะการสนทนานี้เป็นการคุยเพื่อยกระดับกระบวนการสื่อสารผ่านเว็บไซท์ www.areahpp.net ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กำลังมองหาการยกระดับของการสื่อสาร เพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลง.... พักไว้ตรงนี้ก่อนครับ พรุ่งนี้เล่าต่อ
Cr..ขอบคุณภาพจากน้องเหมียว พี่ไพฑูล และลุงนิรันดร์รับ
จากลำพูนสู่ไมด้า ซีตี้ รีสอร์ท หลักสี่ การเดินทางคราวนี้มีหลายเรื่องที่ได้เรียนรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นก่อนการเข้าร่วม เวทีออกแบบการสื่อสาร ผมเองเดินทางหลายครั้งครับ แต่ครั้งนี้ถึงใจถึงอารมณ์ที่สุด(ฮ่าๆๆๆ)
.
หลังจากการประชุมกับทีมขับเคลื่อนสมัชชาสุขภาพลำพูนจบลงมีการเฟ้นหาทีมงาน เพื่อลงไปเรียนรู้วิธีการรับมติสมัชชาติในวันที่ 13 พย นี้จบลง ผมก็มุ่งหน้าสู่ กทม. ก่อนที่จะถึงที่พัก ผมแวะเดินเที่ยวแถวดอนเมืองครับ
.
การเดินเที่ยวของผมอาจแปลกที่ชอบเดินไปตามแหล่งชุมชน พื้นที่ชีวิต ได้เห็นทุกข์สุข ของผู้คน ผมเดินจาก รร.อมารา ย้อนไปหลัก 4 ระยะทางก็ 5 กิโลครับแต่เหมือนไกลมากเพราะกำลังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง(ท่าจะใช่) ซึ่งระหว่างทางผมเห็นพบป้ายที่บ่อยสุดคือ "พื้นที่กองทัพอากาศ" นึกไปก็รู้สึกว่าพื้นที่ของทหารนี่ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน
.
ระหว่างทางเห็นวิถีชีวิตผู้คนข้างทาง เสียดายแบทหมดเลยไม่ได้ถ่ายภาพมา ที่ประทับใจสุดเห็นจะเป็น "เป็ดดอนเมือง" ที่เลี้ยงกันข้างถนน ระหว่างถนนกำแพงเพชร6 และ ถนนเชิดวุฒกาศ ซ่งมีเหมือนคูน้ำเล็กๆ พวกเป็ดน้อยก็อยู่กันอย่างน่ารัก เรียบร้อย ดูแล้วช่างขัดตากับภาพความเป็นดอนเมือง ความเป็นเมืองใหญ่ เสียจริง
.
เดินไปถึงคลังเก็บน้ำมัน ก็ไปต่อไม่ได้เพราะต้องเดินข้ามถนนใหญ่เลยตัดสินใจเดินเลียบไปซึ่งน่าจะเป็น ชุมชนคลองแปรมนี่นั่นผมได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่แออัด แต่ถือว่าเขามีการจัดการสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี(ตามกำลัง) แล้วทะลุออกที่ชุมชนแฟต จนสุดท้ายไปต่อไม่ไหว(กลัวหลง) จึงต่อมอไซถึงที่พัก(สนุกมาก แต่แม่บ้านออกแนวห่วงมากครับ)
.
ในคืนก่อนการประชุมผมได้คุยกับ อ.นิรันดร์ ซึ่งเป็นประธาน นนส.57 เป็นตัวแทน จ.เชียงราย ถึงทิศทางการร่วมงานสมัชชาชาติในบทบาทนักสานพลังและนำเสนอแนวคิดในการออกแบบ สื่อให้กับท่านเพื่อแลกเปลี่ยนและพัฒนา ซึ่งก็ถือว่าได้วอร์มความคิดส่วนหนึ่ง โดยหลักความคิดที่ผมเสนอไว้มี 4 ภาคคือ
1) มีการประสานความร่วมมือของสื่อ ทั้งในระดับ สช. และสื่อสาธารณะในพื้นที่
2) การแลกเปลี่ยนกิจกรรมผ่านงานเขียน เรื่องเล่า เพื่อเห็นทุกข์ เห็นสุข เห็นพลังของการเคลื่อนไหวในกระบวนการสมัชชา
3) การร่วมวางแผนงานร่วมกัน ในส่วนนี้ผมไม่ได้เสนอเพราะดูวงแล้วเป็นการนำเสนอที่ยกระดับกว่าเป้าหมายนี้
4) การร่วมกันเขย่าการสื่อสาร ด้วยสื่อออนไลน์ที่ทุกคนมีในมือ
.
ซึ่งทั้งหมดเป็นเนื้อหาที่ผมเตรียมมาแต่พอเอาเข้าจริง สิ่งที่ผมเตรียมบางสิ่งก็ใช้ได้ บางสิ่งก็ใช้ไม่ได้ เพราะการสนทนานี้เป็นการคุยเพื่อยกระดับกระบวนการสื่อสารผ่านเว็บไซท์ www.areahpp.net ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่กำลังมองหาการยกระดับของการสื่อสาร เพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลง.... พักไว้ตรงนี้ก่อนครับ พรุ่งนี้เล่าต่อ
Cr..ขอบคุณภาพจากน้องเหมียว พี่ไพฑูล และลุงนิรันดร์รับ
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 2)
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 2)
ความเดิมตอนที่แล้วผมเดินทางจากลำพูน มุ่งสู่กรุงเทพ เป้าหมายแยกหลักสี่ เมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน 2557 เพื่อร่วมระดมความคิดออกแบบการสื่อสารสำหรับพื้นที่สมัชชาสุขภาพ ภายใต้แนวคิด 4 ประการคือ ร่วมรับ ร่วมรู้ ร่วมแลก ร่วมลุย (เป็น 4 ข้อเดิมแต่ผลิตเป็นวาทะกรรมที่ให้กระชับมากขึ้นครับ) ซึ่งตอนแรกผมก็ยังสงสัยว่าทำไมผมถึงผมถึงเป็นผู้ได้รับเลือกให้ร่วมออกแบบ แนวคิด ....???
.
ผมมองว่าเป้าหมายแท้จริงของ สช. โดย สำนักปฏิบัติการพื้นที่ (สปท.) ที่กำลังหาแนวทางพัฒนาเว็บไซท์ www.areaphpp.net คงเป็นการระดมพลังหาทางสร้างการรับรู้สารที่แต่กลุ่มผลิตให้มากที่สุด มีประสิทธิภาพ และเป้าหมายหลักก็คือคนในพื้นที่ซึ่งอาจอยู่ในวงของสมัชชาสุขภาพจังหวัด นักสานพลัง หรือเป็นคนที่ทำงานด้านสื่อ(นักเขียน) ซึ่งเป็นเสมือนกุญแกสำคัญที่จะทำให้งานเดินหน้าไปได้
ในช่วงของการแลกเปลี่ยนเราพูดคุยกันหลายเรื่องครับที่เป็นเสมือนต้นทุนที่ เว็บไซท์ได้ดำเนินการมา และข้อจำกัดสำคัญที่จะต้องฝ่าไป เพื่อนำไปสู่การวางแผนระยะสั้น -ระยะยาว เบื้องต้นเราคุยกันหลากหลายสมกับองค์คณะที่มาจากหลากหลายศักยภาพ แต่สาระสำคัญที่คุยย้ำที่สุดคือ “สื่อเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง” ภายใต้สภาวะที่องค์กรทั้งหลายต่างมุ่งเป้าสู่การปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้น
.
ภายใต้กระบวนการสมัชชาสุขภาพพื้นที่/เฉพาะประเด็น ก็เป็นอีกกลไกที่สร้างการมีส่วนร่วม ก่อให้การเรียนรู้ เสมือนห้องเรียนประชาธิปไตยที่ไม่ได้คัดง้างเอาแพ้ชนะหักหานน้ำใจ แต่เป็นการระดมความคิดเพื่อสร้างการยอมรับ นำไปสู่การมีส่วนร่วม และหนุนให้สังคมสู่สุขภาวะ ซึ่งหมายถึงสุขภาพของสังคมที่ดีส่งผลต่อคน หรือพลเมืองที่มีคุณภาพแข็งแรงทั้งภายนอกภายใน
.
ภารกิจที่พอสรุปได้ของการประชุมออกแบบนั้นมีหลายระดับ ทั้งในระยะสั้น พลังที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่และต้องงัดออกมากภายใต้โปรเจค “๑๐๐ภาพ ร้อยเรื่องเล่า ชาวสมัชชาสุขภาพ” ซึ่งจะเป็นการระดมความงดงาม พัฒนาการที่เกิดขึ้นของสมัชชาสุขภาพพื้นที่แต่ละจังหวัดรวมเล่ม เป็นพลังเสริมกำลังใจ(ร่วมแลก)ของกันและกัน เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น ความแหลมคมหรือเป้าหมายที่ต้องให้ชัดเจนก็จะเริ่มจำแนกได้ สร้างเครือข่ายได้ และทำให้จังหวัดที่ยังหลับไหน หรือเคลื่อนไหวอย่างไรพลัง ฟื้นตื่นมารวมกันขยับทางสังคม ส่งสู่บ้านเมืองสุขภาพวะในอนาคต
.
อีกวิธีการหนึ่งคือการร่วมเสริมพลังผ่านเครื่องมือสื่อออนไลน์(เฟสบุ๊ค เว็บไซท์) ซึ่งประหยัด รวดเร็ว และเข้าถึงได้สะดวก(ถือว่าน่าจะครอบคลุมที่สุดสื่อหนึ่ง) ด้วยแนวทาง PSL (Post/Share/Like) สารที่พี่น้องสื่อออกมาทั้งจากเว็บไซท์ หรือช่องทางที่จะเชื่อมต่อกันผ่าน mail group เครือข่ายสื่อสารสุขภาพ ซึ่งงานนี้ทีมจัดการเว็บไซท์อาจต้องออกแรกเหนื่อยหน่อย แต่คิดว่าการเหนื่อยครั้งนี้คงได้เพื่อน หรือผลที่ดีต่อการพัฒนาแนวทางร่วมกันระหว่างการผลิตสาร และการสร้างความเปลี่ยนแปลง
.
เอาหละครับนำเสนอมาเสียยาวดูท่าทางจะยังไม่จบง่ายแต่เจ้าตัวชักเหนื่อยเหลือ กิน ของยุติไว้ก่อน แล้วจะกลับมาเล่าต่อพรุ่งนี้นะครับ.....ขอบพระคุณสำหรับการติดตามครับ
ความเดิมตอนที่แล้วผมเดินทางจากลำพูน มุ่งสู่กรุงเทพ เป้าหมายแยกหลักสี่ เมื่อวันที่ 31 พฤศจิกายน 2557 เพื่อร่วมระดมความคิดออกแบบการสื่อสารสำหรับพื้นที่สมัชชาสุขภาพ ภายใต้แนวคิด 4 ประการคือ ร่วมรับ ร่วมรู้ ร่วมแลก ร่วมลุย (เป็น 4 ข้อเดิมแต่ผลิตเป็นวาทะกรรมที่ให้กระชับมากขึ้นครับ) ซึ่งตอนแรกผมก็ยังสงสัยว่าทำไมผมถึงผมถึงเป็นผู้ได้รับเลือกให้ร่วมออกแบบ แนวคิด ....???
.
ผมมองว่าเป้าหมายแท้จริงของ สช. โดย สำนักปฏิบัติการพื้นที่ (สปท.) ที่กำลังหาแนวทางพัฒนาเว็บไซท์ www.areaphpp.net คงเป็นการระดมพลังหาทางสร้างการรับรู้สารที่แต่กลุ่มผลิตให้มากที่สุด มีประสิทธิภาพ และเป้าหมายหลักก็คือคนในพื้นที่ซึ่งอาจอยู่ในวงของสมัชชาสุขภาพจังหวัด นักสานพลัง หรือเป็นคนที่ทำงานด้านสื่อ(นักเขียน) ซึ่งเป็นเสมือนกุญแกสำคัญที่จะทำให้งานเดินหน้าไปได้
ในช่วงของการแลกเปลี่ยนเราพูดคุยกันหลายเรื่องครับที่เป็นเสมือนต้นทุนที่ เว็บไซท์ได้ดำเนินการมา และข้อจำกัดสำคัญที่จะต้องฝ่าไป เพื่อนำไปสู่การวางแผนระยะสั้น -ระยะยาว เบื้องต้นเราคุยกันหลากหลายสมกับองค์คณะที่มาจากหลากหลายศักยภาพ แต่สาระสำคัญที่คุยย้ำที่สุดคือ “สื่อเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง” ภายใต้สภาวะที่องค์กรทั้งหลายต่างมุ่งเป้าสู่การปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้น
.
ภายใต้กระบวนการสมัชชาสุขภาพพื้นที่/เฉพาะประเด็น ก็เป็นอีกกลไกที่สร้างการมีส่วนร่วม ก่อให้การเรียนรู้ เสมือนห้องเรียนประชาธิปไตยที่ไม่ได้คัดง้างเอาแพ้ชนะหักหานน้ำใจ แต่เป็นการระดมความคิดเพื่อสร้างการยอมรับ นำไปสู่การมีส่วนร่วม และหนุนให้สังคมสู่สุขภาวะ ซึ่งหมายถึงสุขภาพของสังคมที่ดีส่งผลต่อคน หรือพลเมืองที่มีคุณภาพแข็งแรงทั้งภายนอกภายใน
.
ภารกิจที่พอสรุปได้ของการประชุมออกแบบนั้นมีหลายระดับ ทั้งในระยะสั้น พลังที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่และต้องงัดออกมากภายใต้โปรเจค “๑๐๐ภาพ ร้อยเรื่องเล่า ชาวสมัชชาสุขภาพ” ซึ่งจะเป็นการระดมความงดงาม พัฒนาการที่เกิดขึ้นของสมัชชาสุขภาพพื้นที่แต่ละจังหวัดรวมเล่ม เป็นพลังเสริมกำลังใจ(ร่วมแลก)ของกันและกัน เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น ความแหลมคมหรือเป้าหมายที่ต้องให้ชัดเจนก็จะเริ่มจำแนกได้ สร้างเครือข่ายได้ และทำให้จังหวัดที่ยังหลับไหน หรือเคลื่อนไหวอย่างไรพลัง ฟื้นตื่นมารวมกันขยับทางสังคม ส่งสู่บ้านเมืองสุขภาพวะในอนาคต
.
อีกวิธีการหนึ่งคือการร่วมเสริมพลังผ่านเครื่องมือสื่อออนไลน์(เฟสบุ๊ค เว็บไซท์) ซึ่งประหยัด รวดเร็ว และเข้าถึงได้สะดวก(ถือว่าน่าจะครอบคลุมที่สุดสื่อหนึ่ง) ด้วยแนวทาง PSL (Post/Share/Like) สารที่พี่น้องสื่อออกมาทั้งจากเว็บไซท์ หรือช่องทางที่จะเชื่อมต่อกันผ่าน mail group เครือข่ายสื่อสารสุขภาพ ซึ่งงานนี้ทีมจัดการเว็บไซท์อาจต้องออกแรกเหนื่อยหน่อย แต่คิดว่าการเหนื่อยครั้งนี้คงได้เพื่อน หรือผลที่ดีต่อการพัฒนาแนวทางร่วมกันระหว่างการผลิตสาร และการสร้างความเปลี่ยนแปลง
.
เอาหละครับนำเสนอมาเสียยาวดูท่าทางจะยังไม่จบง่ายแต่เจ้าตัวชักเหนื่อยเหลือ กิน ของยุติไว้ก่อน แล้วจะกลับมาเล่าต่อพรุ่งนี้นะครับ.....ขอบพระคุณสำหรับการติดตามครับ
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 3 ปัจฉิมบท)
รายงานสาธารณฉบับที่ 30.1 เวทีออกแบบการสื่อสารเครือข่ายสมัชชาฯ (ตอนที่ 3 ปัจฉิมบท)
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเลยเถิดมาขนาดนี้ เป็นตอนที่ 3 แล้วซินะครับ แต่ไงจบตอนนี้แน่นอน เรื่องเก่าคงไม่เล่าใหม่แต่ขอฉายให้เป็นภาพงานระยะสั้นที่เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่าสมัชชาสุขภาพจังหวัด ซึ่งเตรียมกันไว้ได้แก่ “๑๐๐ภาพ ร้อยเรื่องเล่า ชาวสมัชชาสุขภาพ” ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นของผู้คนบนกระบวนการสมัชชาพื้นที่ สมัชชาเฉพาะประเด็น หรือลมใต้ปีกของกระบวนการสมัชชาสุขภาพ 100 เรื่อง 100 ภาพจะถูกบรรจุลงในนี้
นอกจากนั้นยังมีพันธ์สัญญาร่วมกัน(commitment) ที่จะช่วยเล่า ช่วยเขย่า ช่วยบอกต่อ(Post/Share/Like) ในเรื่องราวของกระบวนการสมัชชาสุขภาพของแต่ละท่านต่อจากนี้ไป ผ่านทั้ง mail group หรือ web site เพื่อส่งต่อพลังให้เชื่อมถึงกันสร้างสรรค์สิ่งสวยงามในอนาคตร่วมกัน
ด้วยพลังของเรื่องเล่าจะหนุนให้ทุกจังหวัดเคลื่อนต่อได้มากน้อยอย่างไร คงต้องขึ้นอยู่กับพลังของความแหลมคมในการสื่อสาร ของสารที่จะสื่อ นั่นจึงเสมือนเฟส2 แผนระยะยาว ของกระบวนการที่จะต้องอาศัยองค์คณะในการร่วมกำหนด ชี้ทิศ ชวนเชิญเหล่าจอมยุทธแห่งการสื่อสารมา ชุมนุมกันเพื่อสารพลังของเรื่องเล่าให้แหลมคม อาจจะเป็นการช่องทางสื่อสาร พัฒนาทักษะกระบวนการ หรืออาจะต่อยอดไปจนไปถึงการลงหนุนให้เขตสุขภาพเพื่อประชาชน หรือกลุ่มจังหวัดสมัชชาได้มากน้อยขนาดไหนคงต้องคอยติดตามกัน(แต่ที่แน่ๆสมัชชาสุขภาพล้านนาคงกำลังเตรียมทะยานเข้าสู่พื้นที่การสื่อสารนี้อยู่เป็นแน่)
ด้วยเจตนาแห่งการสร้างพลังสื่อสาร ผ่านพลังของเรื่องเล่า เพื่อให้กระบวนการสมัชชาสุขภาพพื้นที่/เฉพาะประเด็น เดินหน้าไปได้ และมุ่งเป้าไปสู่การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สู่สังคมสุขภาพวะ อาจยังดูห่างไกลนัก แต่ด้วยจิตวิญญาณเดียวกันของการร่วมสร้างสังคม ซึ่งขณะนี้หลายองค์กรกำลังมุ่งเข้าสู่เป้าหมายเดียวกัน อาจต่างชื่อ แต่ก็มุ่งเน้นให้สังคมของเราเป็นสังคมที่ “อยู่เย็น เป็นสุข”
ช่วงท้ายของการอบรม ก็เป็นปกติของการจากลาแม้วันนี้เราจะมากันไม่นาน แต่ก็ได้งานที่อาศัยทั้ง พลังเล่น พลังจริง พลังเล่า พลังถาม พลังแห่งความสงสัย และพลังแห่งการตื่นตัวมากมาย เพื่อจะขับให้สังคมนี้น่าอยู่มากขึ้น ขากลับได้คุยกับพี่ไพฑูร พี่ชายสกุลเดียวกันที่แต่อยู่กันคนละทิศ(เหนือ/อีสาน) ได้ฟังเรื่องเล่าที่เป็นพลังมากมาย และเห็นถึงจุดคานงัดของแต่ละคนที่จะมุ่งเป้าไปบางคนถนัดทำงานมวลชน บางคนถนัดด้านการสื่อสาร บางคนกระบวนการ หรือบางคนก็เป็นนักวิชาการ แต่สำคัญทุกคนล้วนเติมในสิ่งที่แต่ละคนขาด
ในช่วงของการเล่าเรื่องเหล่านี้ผมเองก็พลังค้นพบว่า ผมเป็นคนที่ถนัดในมุมไหน การเล่าเรื่องน่าจะเป็นพลังที่ผมพอจะทำได้ และน่าจะพัฒนาให้เป็นพลังที่เข้มแข็งมากขึ้น สร้างประโยชน์สุขมากขึ้น สร้างจังหวะก้าว สร้างรอยเท้าที่สง่างาม เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำ เดินตามได้อย่างภาคภูมิ ...นี่เองจึงเป็นที่สุดของความฝัน ที่จะสร้างตำนานให้ผู้คนจดจำในสิ่งดีๆที่เราเพียงสร้าง ...
ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเลยเถิดมาขนาดนี้ เป็นตอนที่ 3 แล้วซินะครับ แต่ไงจบตอนนี้แน่นอน เรื่องเก่าคงไม่เล่าใหม่แต่ขอฉายให้เป็นภาพงานระยะสั้นที่เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของขบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่าสมัชชาสุขภาพจังหวัด ซึ่งเตรียมกันไว้ได้แก่ “๑๐๐ภาพ ร้อยเรื่องเล่า ชาวสมัชชาสุขภาพ” ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นของผู้คนบนกระบวนการสมัชชาพื้นที่ สมัชชาเฉพาะประเด็น หรือลมใต้ปีกของกระบวนการสมัชชาสุขภาพ 100 เรื่อง 100 ภาพจะถูกบรรจุลงในนี้
นอกจากนั้นยังมีพันธ์สัญญาร่วมกัน(commitment) ที่จะช่วยเล่า ช่วยเขย่า ช่วยบอกต่อ(Post/Share/Like) ในเรื่องราวของกระบวนการสมัชชาสุขภาพของแต่ละท่านต่อจากนี้ไป ผ่านทั้ง mail group หรือ web site เพื่อส่งต่อพลังให้เชื่อมถึงกันสร้างสรรค์สิ่งสวยงามในอนาคตร่วมกัน
ด้วยพลังของเรื่องเล่าจะหนุนให้ทุกจังหวัดเคลื่อนต่อได้มากน้อยอย่างไร คงต้องขึ้นอยู่กับพลังของความแหลมคมในการสื่อสาร ของสารที่จะสื่อ นั่นจึงเสมือนเฟส2 แผนระยะยาว ของกระบวนการที่จะต้องอาศัยองค์คณะในการร่วมกำหนด ชี้ทิศ ชวนเชิญเหล่าจอมยุทธแห่งการสื่อสารมา ชุมนุมกันเพื่อสารพลังของเรื่องเล่าให้แหลมคม อาจจะเป็นการช่องทางสื่อสาร พัฒนาทักษะกระบวนการ หรืออาจะต่อยอดไปจนไปถึงการลงหนุนให้เขตสุขภาพเพื่อประชาชน หรือกลุ่มจังหวัดสมัชชาได้มากน้อยขนาดไหนคงต้องคอยติดตามกัน(แต่ที่แน่ๆสมัชชาสุขภาพล้านนาคงกำลังเตรียมทะยานเข้าสู่พื้นที่การสื่อสารนี้อยู่เป็นแน่)
ด้วยเจตนาแห่งการสร้างพลังสื่อสาร ผ่านพลังของเรื่องเล่า เพื่อให้กระบวนการสมัชชาสุขภาพพื้นที่/เฉพาะประเด็น เดินหน้าไปได้ และมุ่งเป้าไปสู่การปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สู่สังคมสุขภาพวะ อาจยังดูห่างไกลนัก แต่ด้วยจิตวิญญาณเดียวกันของการร่วมสร้างสังคม ซึ่งขณะนี้หลายองค์กรกำลังมุ่งเข้าสู่เป้าหมายเดียวกัน อาจต่างชื่อ แต่ก็มุ่งเน้นให้สังคมของเราเป็นสังคมที่ “อยู่เย็น เป็นสุข”
ช่วงท้ายของการอบรม ก็เป็นปกติของการจากลาแม้วันนี้เราจะมากันไม่นาน แต่ก็ได้งานที่อาศัยทั้ง พลังเล่น พลังจริง พลังเล่า พลังถาม พลังแห่งความสงสัย และพลังแห่งการตื่นตัวมากมาย เพื่อจะขับให้สังคมนี้น่าอยู่มากขึ้น ขากลับได้คุยกับพี่ไพฑูร พี่ชายสกุลเดียวกันที่แต่อยู่กันคนละทิศ(เหนือ/อีสาน) ได้ฟังเรื่องเล่าที่เป็นพลังมากมาย และเห็นถึงจุดคานงัดของแต่ละคนที่จะมุ่งเป้าไปบางคนถนัดทำงานมวลชน บางคนถนัดด้านการสื่อสาร บางคนกระบวนการ หรือบางคนก็เป็นนักวิชาการ แต่สำคัญทุกคนล้วนเติมในสิ่งที่แต่ละคนขาด
ในช่วงของการเล่าเรื่องเหล่านี้ผมเองก็พลังค้นพบว่า ผมเป็นคนที่ถนัดในมุมไหน การเล่าเรื่องน่าจะเป็นพลังที่ผมพอจะทำได้ และน่าจะพัฒนาให้เป็นพลังที่เข้มแข็งมากขึ้น สร้างประโยชน์สุขมากขึ้น สร้างจังหวะก้าว สร้างรอยเท้าที่สง่างาม เพื่อให้คนรุ่นหลังได้จดจำ เดินตามได้อย่างภาคภูมิ ...นี่เองจึงเป็นที่สุดของความฝัน ที่จะสร้างตำนานให้ผู้คนจดจำในสิ่งดีๆที่เราเพียงสร้าง ...
วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ตามสัญญาใจ.....รายงานสาธารณะเพื่อประชาชน
......วันนี้(15 ตุลา 57) มีโอกาสดีบุกเข้าถ้ำเสือ เข้าไปถึงรังของเหล่าจอมยุทธทางสุขภาพ ที่ตั้งสำนักอยู่สุดซอยของสำนักงานด้านสุขภาพของประเทศไทย เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินทางเข้าไปเรียนรู้วิถี วิธี และกระบวนการคิดขององค์กรที่มีชื่อว่า สช. หรือสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ เข้าไปผมนึกอารมณ์ ก็ไม่ต่างจาก สสส.มากนัก เพียงแต่ สสส. ดูจะเป็น park มากกว่า ส่วน สช ออกแนว office แต่ก็ไม่ใช่เชิงจำนักงานจ๋า เพราะมีมุม มีจุด พักผ่อน พัฒนาแนวคิด เติมพลังกาย ใจ พร้อมสรรพ เหมาะแก่การเป็นแหล่งของนักพัฒนาทางนโยบายสาธารณะเพื่อประชาชนเสียงจริง
......สำหรับอาคารหลังนี้อยู่ในศูนย์ราชการกระทรวงสาธารณะสุข ผมพึ่งเข้าไปครั้งแรก ได้เห็นองค์กรตระกูล ส. ตัวเป็นเห็นๆหลากหลายองค์กร และในอาคารหลังนี้ก็เสมือนเป็นบ้านของเหล่าจอมยุทธตระกูล ส. ก่อนที่จะแยกย้ายไปตั้งสำนักใหม่กัน
......บรรยากาศตลอดทั้งวันถือว่าอบอุ่นมากครั้ง ทั้งจากมวลมิตรคอเดียวกันที่ทำงานด้านสุขภาพ งานภาคองค์กรชุมชน งานวิชาการ ท้องถิ่น และผู้แทนจากหลากหลายกระทวง หน่วยงานสำคัญระดับประเทศมารวมตัวกันในเวทีนี้ ซึ่งหัวข้อของการพูดคุยวันนี้ก็สำคัญจริง ว่าด้วยเรื่องการออกแบบ (เขต/พื้นที่/เครือขายพื้นที่)สุขภาพเพื่อประชาชน โดยหลักคิดจะเป็นการสร้างกลุ่มพื้นที่ ซึ่งจะช่วยชี้ทิศ กำกับ ขับเคลื่อน แนวคิดทางสุขภาพของคนไทยในแต่ละกลุ่มจังหวัด โดยทั้งแบบจาก สาธารณะสุข และแบบของ สปสช. ซึ่งแต่ละแบบก็ล้วนแต่มีข้อดี “เครือข่ายพื้นที่สุขภาพเพื่อประชาชน” ก็จะเป็นอีกนวัตกรรมขององค์กร ที่จะไม่มุ่งเน้นการสร้างองค์กรบริหารจัดการ หรือแตกหน่อฝักรากสร้างสำนักงาน ของสำนักงานสุขภาพแต่อย่างใด แต่จะเป็นเสมือนพื้นที่ร่วมกันที่จะผลักดัน เติมกำลังใจ และทำให้สุขภาพคนไทยดีขึ้นอย่างยั่งยืน
......ภาพรวมของเวทีนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลากจากนี้ฝ่ายเลขาจะนำข้อความคิดจากทุกคนเข้าสู่กระบวนการจัดทำข้อมติ และผลิตเป็นเอกสารเพื่อเตรียมนำเข้าสู่กระบวนการสมัชชาในระหว่างวันที่ 24-26 ธันวาคม นี้ ซึ่งเขตสุขภาพของประชาชนจะเป็นอย่างไรคงต้องคอยติดตามกัน แต่แน่นอนแล้วว่า กระบวนการนี้จะเป็นการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน (นฤเทพ พรหมเทศน์ : Gate 35 DMK)
วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557
สลากย้อมหลอมใจ
เซลฟี่แบบครอบครัวครับ เมื่อวานนี้(12 ตค 57) ได้โอกาสทำบุญงานสลากย้อม วัดหนองหมู(เชตุวัน) อยู่ได้ไม่นาน เพราะต้องบริหารจัดการลูกชายตัวน้อยที่แสนยุ่ง(ป่วน) วิ่งไปวิ่งมาจากวัดไปบ้าน จากบ้านไปวัด งานนี้ฮีโร่ตัวจริง ก็พ่อและน้องชายของเรานี่เอง ที่ช่วยจัดการงาน และบริหารทุกสิ่งอย่างสอดประสานอย่างร่วมมือทำให้งานสำเร็จเสร็จอิ่มทั้งกาย และใจ
อีกคนก็แม่ผู้เป็นสุดยอดนักบริหาร แม้บัญชาการแบบ กองทัพสับสน แต่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจดีที่แม่ซึ่งเป็นผู้ให้พยายามที่จะให้ทุกสิ่ง อย่างตามกำลังกาย ใจ และปัญญาที่มีอยู่ สลากวัดหนองหมูเมื่อวานนี้ถือว่าย้อมจริงๆครับ เพราะนอกจากคนจะย้อมแล้วยังมีเทวดาที่ย้อมด้วยฝน 3 ห่า ตกลงมา 3 รอบ ทำให้เย็นชุ่มกันทั้งงาน เปียกโชกทุกคนแต่ก็ดีครับถือว่าคลายร้อนและไม่ตกแบบใจร้ายใจดำกับคนร่วมงาน มากนัก อยู่ใต้ฟ้าก็ต้องไม่กลัวฝน
อีกคนก็แม่ผู้เป็นสุดยอดนักบริหาร แม้บัญชาการแบบ กองทัพสับสน แต่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจดีที่แม่ซึ่งเป็นผู้ให้พยายามที่จะให้ทุกสิ่ง อย่างตามกำลังกาย ใจ และปัญญาที่มีอยู่ สลากวัดหนองหมูเมื่อวานนี้ถือว่าย้อมจริงๆครับ เพราะนอกจากคนจะย้อมแล้วยังมีเทวดาที่ย้อมด้วยฝน 3 ห่า ตกลงมา 3 รอบ ทำให้เย็นชุ่มกันทั้งงาน เปียกโชกทุกคนแต่ก็ดีครับถือว่าคลายร้อนและไม่ตกแบบใจร้ายใจดำกับคนร่วมงาน มากนัก อยู่ใต้ฟ้าก็ต้องไม่กลัวฝน
งานสลากย้อมเป็นงานที่ทำให้สตรีได้มีโอกาสสร้างบุญใหญ่หากจำอานิสงค์ไม่ผิด เทียบได้กับการบวชของบุรุษ ซึ่งถือว่ามีอานิสงฆ์แรงมาก เสียดายที่ปีนี้ไม่ทันทั้งตัว(แบบว่ารู้ล่วงหน้าแต่เหมือนใส่ใจน้อยไปหน่อย) เลยไม่ได้ตั้งเป้าหมายทีจะตั้งต้น และขนบรรณพบุรุษ ออกมาด้วยอย่างที่หลายๆบ้านทำ เอาไว้คราวหน้ายังไงก็คงต้องมีอีกสักครับจะตั้งใจทำให้เต็มที่ไปเลย
เอาหละครับ ช่วงนี้ไม่ได้ค่อยพูดคุยผ่านเฟส เพราะมาหลายเรื่องที่ต้องเตรียม ต้องคิด ต้องตัดสินใจ เพราะที่ผ่านมา ผมใช้เวลากับการคิดไคร่ครวญหลายสิ่งที่วิ่งผ่านเข้ามา ณ บัดนี้ได้เวลาออกวิ่งได้แล้ว
ปล.เข้าสวนก่อนเก็บกล้วย หยวก ส่งให้คุณแม่แกงขายสร้างรายได้สร้างความมั่นคงครับ
วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557
ข่าวสารพลัง#2 : สมัชชาสุขภาพลำพูน สมัชชาสุขภาพกึ่งสำเร็จรูป (1)
สมัชชาสุขภาพลำพูน สมัชชาสุขภาพกึ่งสำเร็จรูป (1)
จบไปแล้วครับสำหรับสมัชชาสุขภาพ ท่ามกลางความรู้สึกยินดี เต็มอิ่ม เหน็จเหนื่อย และชื่นใจ ทั้งคณะทำงาน(ผู้จัด ภาคีร่วมจัด และผู้มีส่วนร่วม) ประชาชนคนลำพูน(ผู้ร่วมงาน เข้าร่วมแลกเปลียนเรียนรู้กระบวนการสมัชชา และผู้ร่วมกันในทุกมุมมอง) และผู้สนับสนุนหลักอย่าง สช.(นำโดยพี่สุทธิพงษ์ น้องดี้ และน้องเหมียว) ที่ต่างฝ่ายต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน ต่างหนุนเนื่อง เสริมแรงกันและกันให้มีพลังในการพัฒนากระบวนการผลิตนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมให้แก่คนลำพูน
ปีนี้เป็นปีแรกที่ประชาชนคนลำพูนได้มีโอกาสสัมผัสกระบวนการสมัชชาสุขภาพอย่างเป็นทางการครับ เนื่องด้วยกระบวนการสมัชชาสุขภาพปกติจะจัดกันที่ กทม. และเป็นงานใหญ่ ซึ่งมีตัวแทนจังหวัดลำพูน หน่วยงานภาครัฐ แบบนับคนได้ที่จะเข้าร่วมงานนี้ แต่นับจากนี้ต่อไป จังหวัดลำพูนจะได้มีโอกาสสัมผัสงานเช่นนี้ต่อเนื่องต่อไป และได้เรียนรู้พัฒนาการกันอย่างมีระบบ ซึ่งระบบที่ว่านี้ก็เสมือนคำว่ากึ่งสำเร็จรูปตามหัวข้อข้างต้นครับ
น่าจะประมาณปี 45 ที่กระบวนการสมัชชาสุขภาพเกิดขึ้นในจังหวัดลำพูนตั้งแต่เป็นประชาคม และยกระดับสู่สมัชชา มีหลายเรื่องที่ภาคประชาชนเสนอ และร่วมกันผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม เช่น มติลดการฆ่าตัวตาย มติด้านหมอกควัน ซึ่งต้องยอมรับว่าความตื่นตัวของประชาชนในยุคสมัยแห่งการพัฒนายังถือว่าเริ่มผลิบาน กระบวนการมีส่วนร่วมเป็นเรื่องใหม่ที่ประชาชนต้องตื่นตัว และเริ่มพัฒนา จนกระทั่งปี 2556 กระบวนการสมัชชาสุกงอมเต็มที่และผลิตคู่มือปกสีขาว เพื่อทำให้เกิด คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัด (คจ.สจ.) และหน่วยเลขานุการกิจ ซึ่งเป็นเหมือนคณะมดงานที่ช่วยเคลื่อนเรื่องนี้ ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยมีกรอบ กระบวนการมาเป็นเครื่องมือช่วยหนุนเสริม อีกทั้งคณะทำงานหลายคนมีแนวคิดจากกระบวนการสมัชชาชาติมาช่วยประกอบให้ลำพูนมีกระบวนการสมัชชาที่เข้มข้นมากขึ้น
ภายใต้กระบวนการเวทีสมัชชาจังหวัดครั้งที่ 1 ของคนลำพูน มีหัวข้อที่นำเข้าสู่ที่ประชุมหลัก 3 ประเด็นได้แก่ 1)ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน 2) การขับเคลื่อนน้ำมันทอดซ้ำโดยคนหละปูน และ 3) พืชผักปลอดภัยสร้างความมั่นใจสู่ผู้บริโภค โดยทั้ง 3 มติผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมสมัชชา โดยรายละเอียดของมติได้มีการตั้งชุดติดตาม เสมือนกรรมการธิการเข้าดูแลรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้งานสมัชชาสุขภาพครั้งนี้แม้ปิดฉากลง แต่ถือเป็นการเปิดฉากของกระบวนการสมัชชา ที่จะต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้นในจังหวัดลำพูน และสำหรับกระบวนการพัฒนาของข้อมติ จะขอนำเสนอในคราวต่อไปครับ
จบไปแล้วครับสำหรับสมัชชาสุขภาพ ท่ามกลางความรู้สึกยินดี เต็มอิ่ม เหน็จเหนื่อย และชื่นใจ ทั้งคณะทำงาน(ผู้จัด ภาคีร่วมจัด และผู้มีส่วนร่วม) ประชาชนคนลำพูน(ผู้ร่วมงาน เข้าร่วมแลกเปลียนเรียนรู้กระบวนการสมัชชา และผู้ร่วมกันในทุกมุมมอง) และผู้สนับสนุนหลักอย่าง สช.(นำโดยพี่สุทธิพงษ์ น้องดี้ และน้องเหมียว) ที่ต่างฝ่ายต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน ต่างหนุนเนื่อง เสริมแรงกันและกันให้มีพลังในการพัฒนากระบวนการผลิตนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมให้แก่คนลำพูน
ปีนี้เป็นปีแรกที่ประชาชนคนลำพูนได้มีโอกาสสัมผัสกระบวนการสมัชชาสุขภาพอย่างเป็นทางการครับ เนื่องด้วยกระบวนการสมัชชาสุขภาพปกติจะจัดกันที่ กทม. และเป็นงานใหญ่ ซึ่งมีตัวแทนจังหวัดลำพูน หน่วยงานภาครัฐ แบบนับคนได้ที่จะเข้าร่วมงานนี้ แต่นับจากนี้ต่อไป จังหวัดลำพูนจะได้มีโอกาสสัมผัสงานเช่นนี้ต่อเนื่องต่อไป และได้เรียนรู้พัฒนาการกันอย่างมีระบบ ซึ่งระบบที่ว่านี้ก็เสมือนคำว่ากึ่งสำเร็จรูปตามหัวข้อข้างต้นครับ
น่าจะประมาณปี 45 ที่กระบวนการสมัชชาสุขภาพเกิดขึ้นในจังหวัดลำพูนตั้งแต่เป็นประชาคม และยกระดับสู่สมัชชา มีหลายเรื่องที่ภาคประชาชนเสนอ และร่วมกันผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม เช่น มติลดการฆ่าตัวตาย มติด้านหมอกควัน ซึ่งต้องยอมรับว่าความตื่นตัวของประชาชนในยุคสมัยแห่งการพัฒนายังถือว่าเริ่มผลิบาน กระบวนการมีส่วนร่วมเป็นเรื่องใหม่ที่ประชาชนต้องตื่นตัว และเริ่มพัฒนา จนกระทั่งปี 2556 กระบวนการสมัชชาสุกงอมเต็มที่และผลิตคู่มือปกสีขาว เพื่อทำให้เกิด คณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัด (คจ.สจ.) และหน่วยเลขานุการกิจ ซึ่งเป็นเหมือนคณะมดงานที่ช่วยเคลื่อนเรื่องนี้ ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยมีกรอบ กระบวนการมาเป็นเครื่องมือช่วยหนุนเสริม อีกทั้งคณะทำงานหลายคนมีแนวคิดจากกระบวนการสมัชชาชาติมาช่วยประกอบให้ลำพูนมีกระบวนการสมัชชาที่เข้มข้นมากขึ้น
ภายใต้กระบวนการเวทีสมัชชาจังหวัดครั้งที่ 1 ของคนลำพูน มีหัวข้อที่นำเข้าสู่ที่ประชุมหลัก 3 ประเด็นได้แก่ 1)ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน 2) การขับเคลื่อนน้ำมันทอดซ้ำโดยคนหละปูน และ 3) พืชผักปลอดภัยสร้างความมั่นใจสู่ผู้บริโภค โดยทั้ง 3 มติผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมสมัชชา โดยรายละเอียดของมติได้มีการตั้งชุดติดตาม เสมือนกรรมการธิการเข้าดูแลรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้งานสมัชชาสุขภาพครั้งนี้แม้ปิดฉากลง แต่ถือเป็นการเปิดฉากของกระบวนการสมัชชา ที่จะต้องเร่งสร้างให้เกิดขึ้นในจังหวัดลำพูน และสำหรับกระบวนการพัฒนาของข้อมติ จะขอนำเสนอในคราวต่อไปครับ
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
ทริปเดินทางสร้างนโยบายสาธารณะ NHA2014
ปิดฉากแรก และพร้อมเปิดฉากต่อไปครับสำหรับวันนี้(12 กย 57) การพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ตามที่ผมได้ post ไว้ก่อนหน้านี้ทริปนี้ค่อนข้างสมบุกสมบรร แบบบอกไม่ถูกของคุณที่สุดคือน้องโต้ง และพี่เปิ้ล สช.ที่เอื้อเฟื้อห้องน้ำให้ได้อาบน้ำในช่วงเช้า ไม่งั้นก็คงดูไม่จืดทั้งวันเลยครับสำหรับวันนี้
เริ่มต้นผมเดินทางจากเชียงใหม่ด้วยสายการแล่น(เพราะอยากนั่งรถหรอสักครั้งในชีวิต) จากเชียงใหม่ถึง กทม.ด้วย นครชัยแอร์แบบดีที่สุดที่มี ถือว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานับตั้งแต่ไม่ได้ทำงานเทศบาลแบบที่ได้อยู่บนรถแบบเต็มที่ ตอนมาพอช.ก็มาแบบรถเหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าไม่ได้บรรยากาศเท่าไหร่เพราะนั่งแบบเกรงใจ แต่คราวนี้นั่งเดี่ยวไม่เกรงใจใคร เสียอย่างเดียวคือรถ ยังไงก็คือรถ นั่งจนตูดชากันไปเป็นข้างๆคนแขนขายาวก็เก้งก้างเป็นพิเศษพิเศษ
จากรถผมลงต่อไปที่ BTS(หมอชิต) ไม่รู้ทำไมพอบอกผมจะไปต่อ BTS นางฟ้าบนทางเรียบมีอมยิ้ม อื่มผมคงพูดอะไรผิดแน่ๆ แต่เนื่องด้วย GPS แบตหมด(ทุกทีเลย) จึงตัดสินในขึ้นรถเมย์แดง ลงหมอชิต BTS จ่ายไป 6.50 บาท ไม่รู้หน้าเรามีไรติด พอลงรถทัวร์มาก็โดนพาไปนั่งเท็คซี่ พาไปมอไซ ไปใกล้ๆ จะเก็บเรา 60 บาท แพงไปม้าง ทำยังกะฉานไม่เคยมานิ กทม.
จาก BTS ลง พญาไท เดินต่ออีกนิดเสาะหากแยกอุรุพงษ์ พื้นที่การเมืองที่เคยเดินผ่านตอนาประชุมเมื่อปีที่แล้ว ได้เจอโรงเรียนชื่อดูบ้านๆ แต่อินเตอร์มากมาย แถมมีผลงานซะด้วยฮั่นแน่ ค้นพบอยู่อย่างหนึ่งรับระหว่างการเดินทางคือ ชีวิตในเมืองนอกจากจะแข่งขันแล้ว ยงไม่ค่อยมีใครรู้ทางด้วย นี่เองที่น่าจะเรียกว่า "ป่าคอนกรีต" ป่าทึบเสียด้วย พอเดินทางถึงโรงแรมอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ดูดี ดูได้บ้างครับ
จาก BTS ลง พญาไท เดินต่ออีกนิดเสาะหากแยกอุรุพงษ์ พื้นที่การเมืองที่เคยเดินผ่านตอนาประชุมเมื่อปีที่แล้ว ได้เจอโรงเรียนชื่อดูบ้านๆ แต่อินเตอร์มากมาย แถมมีผลงานซะด้วยฮั่นแน่ ค้นพบอยู่อย่างหนึ่งรับระหว่างการเดินทางคือ ชีวิตในเมืองนอกจากจะแข่งขันแล้ว ยงไม่ค่อยมีใครรู้ทางด้วย นี่เองที่น่าจะเรียกว่า "ป่าคอนกรีต" ป่าทึบเสียด้วย พอเดินทางถึงโรงแรมอาบน้ำเปลี่ยนชุดก็ดูดี ดูได้บ้างครับ
จากนั้นจึงร่วมฟังบรรยาย แลกเปลี่ยนความคิดเสนอประเด็นสู่การพัฒนาและแน่นอนว่าต้องนำเรื่องดีๆ กลับมาเพื่อให้ขบคิดกันต่อในจังหวัด และคราวนี้ผมคิดว่าจะใช้กลไกทางเอกสารเต็มแบบเนื่องจากที่ผ่านมาผมเองวาง position ตัวเองไว้น้อยไป ทำให้งานไม่เป็นระบบ
จากได้โชคดีมากครับที่ได้พบกับศิลปินใหญ่ คุณอินสนธิ์ วงศ์สาย ศิลปินที่เริ่มจากวาดรูปทุกวัน จนเก่ง และศึกษาจนได้ดี แต่การเรียนก็เป็นเพียงประตูที่นำไปสู่การเดินทางค้นหาชีวิตในโลกกว้างและสร้างงานที่ทั่วโลกยอมรับ เพื่อนๆที่อยู่ในกทม. เชิญชวนไปดูงานของคนลำพูนนะครับ ที่ หอศิลปะสมัยใหม่ กทม. แถวสยามดิสครับ
จากนั้นก็มาเจอกมวลมหาประชาติ่งเกาหลี ที่รออยู่แถวสยาม เหมือนจะรอดูอะไรบางอย่างที่พวกเธอคลั่งกันได้ง่ายๆ งานนี้สาวๆเพียบครับ เห่อๆๆ แต่ด้วยเวลามีน้อย จึงรีบตรงดิ่งไป แอร์พอตลิ้ง พึ่งรู้ว่าเป็นของการรถไฟ พอเห็นตาก็รู้สึกไม่มั่นใจ เห่อ ๆ ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน พอขึ้นไปก็เป็นเช่นนั้นครับ ไม่รู้สึกถึงความทันสมัย ปลอดภัย และคำว่าสะดวก อาจเป็นเพราะผมเองตาไม่ถึงหนะครับ ต้องขออภัยด้วยแต่ก็เชื่อว่าอนาคตคงมีการปรับโฉมและทำการไรให้คนไทยนะครับ สำหรับเรื่องเวลาถือว่าตรงดี ไม่เสีย ไม่สาย ติดที่ห้องโดยสารอาจแคบไปหากนับสำหรับ คนทั่วไปที่เขาจะเดินทางร่วมด้วย
ยามดึกเข้าเช็คอินสุวรรณภูมิ เตรียมเข้าสู่โหมดการเดินทางกลับ ทำแบบสอบถามเรื่องจุดแข็ง ซึ่งขากลับจะอ่านและวิเคราะห์ตัวเองให้ละเอียดมากมากขึ้น และก็นั่งเขียนสรุปทริปให้เพื่อนทราบไปด้วย ถือเป็นการประมวลความทรงจำที่ดีๆที่เกิดขึ้น ถือเป็นการพัฒนาตนเองในทางหนึ่ง ทางความคิด และทางการเดินทางที่ท้าทายตัวเอง เพื่อนๆหลายท่านอาจรู้สึกว่าผมมีเงินถุงเงินถัง หรือชอบทำตัวเว่นเวอ ไม่ติดดิน แต่ผมเองถือว่าเมื่อผมมีโอกาส ผมใช้โอกาสนั้นเพื่อสร้างการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสหนึ่งในชีวิตจะมี เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโอกาสเหล่านี้จะเกิดซ้ำอีกหรือไม่
เอาหละ กลับก่อนนะครับ สุวรรณภูมิ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : ห้องรับรองบางกอกแอร์)
14 กันยายน 2557
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557
ข่าวสารพลังลำพูน ต้นเดือนกันยายน
สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่เคารพและมิตรสหายทางสุขภาพทุกท่าน พบกับผม นฤเทพ พรหมเทศน์ นักข่าวสุขภาวะจากลำพูนครับ ห่างหายเป็นระยะๆสำหรับข่าวสารพลังจากลำพูนนะครับ มีหลายเรื่องที่ติดขัดเล็กน้อยแต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับแก้ไขอยู่นะครับ ซึ่งนั่นคือปัญหาของ User error เพราะรายการข่าวสารพลังนอกจากจะบันทึกเสียงแล้ว การจัดพิมพ์เนื้อหาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก ซึ่งผมเองก็ต้องปรับตัวและจัดการกับเวลาเพื่อให้ได้เนื้อหาของข่าวสาร และได้รายละเอียดของบทความประกอบกันทำให้ช่วงที่ผ่านมาหนึ่งเสร็จ อย่างหนึ่งขาดและนำมาสู่การห่างหายไป แต่นับจากนี้(อีกแล้ว) ก็จะกลับมาสำหรับข่าวสารพลังลำพูน และจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน คอยติดตามนะครับ
สำหรับเดือนกันยายนสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน จัดการประชุมสมัชชาสุขภาพครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ กันยายน ๒๕๕๗ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เทศบาลเมืองลำพูน เชิงสะพานท่าขาม โดยวาระสำคัญของการจัดสมัชชาสุขภาพครั้งนี้มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารเป็นหลักใหญ่ในการบริหารความรู้และข้อพิจารณามติครับ โดยมติปีนี้ประกอบด้วย ร่างมติที่ ๑ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน ร่างมติที่ ๒ การขับเคลื่อนน้ำมันทอดซ้ำโดยคนหละปูน และร่างมติที่ ๓ พืชผักปลอดภัยสร้างความมั่นใจสู่ผู้บริโภค โดยที่มาของมติทั้ง ๓ นั้นเกิดจากการพัฒนาข้อประเด็นจากกลุ่มเครือข่าย ข้อมูลต้นทุนทางสังคม และพัฒนาการของจังหวัดลำพูนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในเบื้องต้นคณะทำงานเครือข่ายลงสำรวจกลุ่มเครือข่าย รับฟังความคิดเห็นเพื่อเสนอประเด็นสู่ คณะทำงานวิชาการโดยสรุปทุนทางสังคมลำพูน ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานบุญปลอดเหล้า กลุ่มออมทรัพย์สวัสดิการ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มผลิตพืชผักอาหารปลอดภัย โดยทั้ง ๔ กลุ่มต่างมีจุดแข็ง จุดร่วม จุดต่างที่หลากหลายและน่าสนใจทั้งสิ้น แต่เนื่องด้วยคณะทำงานจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ปีนี้เริ่มต้นในปีแรกจึงต้องการมุ่งเป้าหมายที่ประเด็นที่มีพื้นที่รูปธรรม มีกิจกรรม และเป็นข้อมติที่สามารถนำไปสู่การขับเคลื่อนได้จริง ไม่เป็นมติที่ไกลตัว จึงเลือก "กลุ่มผลิตพืชผักอาหารปลอดภัย" และ ยกระดับข้อมูลทางวิชาการสู่ "วาระ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน" โดยทั้ง ๓ ข้อมติล้วนแต่เป็นข้อมูลและแนวคิดร่วมกันเพื่อจะขับเคลื่อนการบริหารสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ยกระดับงานสู่ระดับนโยบาย ตามเจตนารมณ์ของการจัดการประชุมสมัชชาสุขภาพ
โดยข้อมติที่ ๑ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน ได้มีทีมวิชาการจากสถาบันวิจัยหริภุญชัยเป็นเจ้าภาพประเด็น ส่วน มติที่ ๒-๓ เป็นการยกแผนงานของสำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดลำพูน ที่ทำร่วมกับองค์กรภาคี ยกระดับสู่การเป็น "นโยบายสาธารณะ" เพื่อทำให้เกิดความต่อเนื่อง และเกิดผลที่ดีในอนาคตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้กระบวนการจัดทำนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจากเครือข่ายภาคประชาชน ภาครัฐ ภาควิชาการ เป็นการจัดการแบบเครือข่ายที่ร้อยกันเป็นพลังเพื่ออภิบาลระบบ และนำไปสู่สังคมที่มีการสร้างการมีส่วนร่วม สร้างการเป็นเจ้าของ ภายในจังหวัดลำพูน ได้มากน้อยเพียงใด คงต้องอาศัยกระบวนการทางสังคม และระยะเวลาที่จะต้องพิสูจน์จิตใจคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ทีมข่าวสุขภาวะสานใจ สานพลัง ลำพูนจะนำเรื่องราวต่างๆมารายงานเป็นประจำ ทุกสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ และชวนท่านผู้ฟัง ผู้อ่านติดตามอย่างต่อเนื่องนะครับ
สำหรับเดือนกันยายนสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน จัดการประชุมสมัชชาสุขภาพครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ กันยายน ๒๕๕๗ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เทศบาลเมืองลำพูน เชิงสะพานท่าขาม โดยวาระสำคัญของการจัดสมัชชาสุขภาพครั้งนี้มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารเป็นหลักใหญ่ในการบริหารความรู้และข้อพิจารณามติครับ โดยมติปีนี้ประกอบด้วย ร่างมติที่ ๑ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน ร่างมติที่ ๒ การขับเคลื่อนน้ำมันทอดซ้ำโดยคนหละปูน และร่างมติที่ ๓ พืชผักปลอดภัยสร้างความมั่นใจสู่ผู้บริโภค โดยที่มาของมติทั้ง ๓ นั้นเกิดจากการพัฒนาข้อประเด็นจากกลุ่มเครือข่าย ข้อมูลต้นทุนทางสังคม และพัฒนาการของจังหวัดลำพูนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในเบื้องต้นคณะทำงานเครือข่ายลงสำรวจกลุ่มเครือข่าย รับฟังความคิดเห็นเพื่อเสนอประเด็นสู่ คณะทำงานวิชาการโดยสรุปทุนทางสังคมลำพูน ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานบุญปลอดเหล้า กลุ่มออมทรัพย์สวัสดิการ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กลุ่มผลิตพืชผักอาหารปลอดภัย โดยทั้ง ๔ กลุ่มต่างมีจุดแข็ง จุดร่วม จุดต่างที่หลากหลายและน่าสนใจทั้งสิ้น แต่เนื่องด้วยคณะทำงานจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ปีนี้เริ่มต้นในปีแรกจึงต้องการมุ่งเป้าหมายที่ประเด็นที่มีพื้นที่รูปธรรม มีกิจกรรม และเป็นข้อมติที่สามารถนำไปสู่การขับเคลื่อนได้จริง ไม่เป็นมติที่ไกลตัว จึงเลือก "กลุ่มผลิตพืชผักอาหารปลอดภัย" และ ยกระดับข้อมูลทางวิชาการสู่ "วาระ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน" โดยทั้ง ๓ ข้อมติล้วนแต่เป็นข้อมูลและแนวคิดร่วมกันเพื่อจะขับเคลื่อนการบริหารสุขภาพแบบมีส่วนร่วม ยกระดับงานสู่ระดับนโยบาย ตามเจตนารมณ์ของการจัดการประชุมสมัชชาสุขภาพ
โดยข้อมติที่ ๑ ความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาวะของคนหละปูน ได้มีทีมวิชาการจากสถาบันวิจัยหริภุญชัยเป็นเจ้าภาพประเด็น ส่วน มติที่ ๒-๓ เป็นการยกแผนงานของสำนักงานสาธารณะสุขจังหวัดลำพูน ที่ทำร่วมกับองค์กรภาคี ยกระดับสู่การเป็น "นโยบายสาธารณะ" เพื่อทำให้เกิดความต่อเนื่อง และเกิดผลที่ดีในอนาคตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้กระบวนการจัดทำนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมจากเครือข่ายภาคประชาชน ภาครัฐ ภาควิชาการ เป็นการจัดการแบบเครือข่ายที่ร้อยกันเป็นพลังเพื่ออภิบาลระบบ และนำไปสู่สังคมที่มีการสร้างการมีส่วนร่วม สร้างการเป็นเจ้าของ ภายในจังหวัดลำพูน ได้มากน้อยเพียงใด คงต้องอาศัยกระบวนการทางสังคม และระยะเวลาที่จะต้องพิสูจน์จิตใจคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ทีมข่าวสุขภาวะสานใจ สานพลัง ลำพูนจะนำเรื่องราวต่างๆมารายงานเป็นประจำ ทุกสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ และชวนท่านผู้ฟัง ผู้อ่านติดตามอย่างต่อเนื่องนะครับ
เทศบาลอุโมงค์.....ท้องถิ่นสร้างพลเมือง
วันก่อนนั้น(5 กย 57) ผมได้รับเกียรติจากเทศบาลอุโมงค์ร่วมต้อนรับคณะตรวจประเมินจากสถาบันพระปก เกล้าในประเด็นการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน ซึ่ง เทศบาลอุโมงค์ ได้นำเสนอชิ้นงานเด่น ๓ ชิ้นได้แก่ ๑)โครงการแผนชุมชน ๒)โครงการอาสาปันสุข ๓)โครงการโรงเรียนดอกซอมพอ โดยแต่ละโครงการก็มีจุดดีและจุดเด่นที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งผมเชื่อว่าหากใครได้มาก็มักมีการตั้งคำถาม ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองต่อไป ทางเทศบาลได้รับเกียรติจาก อ.จ๋า จากคณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์ลำปาง) และคณะเป็นผู้เข้าประเมิน
ในวันนั้นครับผมมีภาระกิจหลายด้านวิ่งวุ่นยังกะนินจาก เข้าเมือง ออกเมือง ไปประชุม ไปสอนเด็ก และกลับมาประชุม พอดีว่าการประชุมยังไม่เลิก ผมเลยได้เรียนรู้และรับฟังสิ่งดีๆที่ผู้ประเมินตั้งข้อคำถามที่คิดว่าผมเอง ก็อยากทราบอยากตีความเช่นกัน จึงขอถือโอกาสนำเสนอมุมมองความคิดลงในพื้นที่แห่งนี้
ว่ากันแล้วคำถามสำคัญที่น่าจะเป็นข้อคิดที่สุดคือ "เทศบาลอุโมงค์ทำอย่างไรให้คนเกิดความตระหนัก และมีส่วนร่วม" นี่เองเมื่อฟังแล้วก็รู้สึกขบคิดขึ้นมาทันควัน สาเหตุหนึ่งน่าจะเกิดจาก เราเองหลงลืมไปแล้วว่าทำไมเราจึงออกมาร่วมงานกับเทศบาล มาเรียนรู้ มามีส่วนร่วม และบางครั้งก็ทำตัวเสมือนเป็นเจ้าของ อาจเพราะคำสอนที่ฟังหัวเราแต่เริ่มต้นทำงาน ที่ท่านนายกพูดเสมอใน ๓ คำคือ "ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา" ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยที่ท้องถิ่นในลำพูน ยังมีอยู่ไม่กี่แห่ง และเห็นท้องถิ่นแรกๆ ที่ให้โอกาสประชาชนได้เป็นเจ้าของได้มากที่สุด
แต่กระบวนการเป็นเจ้าของ หรือกระบวนการมีส่วนร่วมเป็นเพียงปลายหรือผลลัพภ์ที่เกิดขึ้น ผมเองได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งครับ ในรายวิชาจริยธรรมทางธุรกิจ ผศ.ประกาย นิมมานเหมินทร์ ซึ่งท่านให้ข้อคิดที่บังเอิญตรงใจและน่าจะเป็นคำตอบในโจทย์ของกระบวนการ สร้างความเข้มแข็งขององค์กร หรือการมีส่วมนั่นคือ การสร้าง "จริยธรรมองค์กร" หรือ การสร้าง "คุณลักษณะของคนอุโมงค์" ซึ่งผมคิดว่าหากมองในทางสังคมศาสตร์น่าจะตอบคำถามข้อนี้ได้
เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากๆ ต้องมีการออกแบบข้อตกลง กติกา กฎหมาย แต่สำคัญที่สุดทุกคนควรมีแนวทางปฏิบัติ หรือ อาจกล่าวว่าเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ก็ว่าได้ คุณลักษณะเด่นของคนอุโมงค์ คือการมีความใกล้ชิด กล้าพูดกล้าคุยกับเทศบาล ทางหนึ่งอาจเกิดจากโอกาสนที่เทศบาลพยายามสร้างและทำให้ลดช่องว่าระหว่างคำ ว่า รัฐ และ ประชาชน เมื่อใจเปิด เจอบ่อย คุยง่าย ก็นำไปสู่การเชื่อมประสานความคิด กำหนดทิศทางเพื่อก้าวเดินอย่างไรร่วมกัน
ตำบลอุโมงค์จึงเป็นพื้นที่หนึ่งในการสร้างคน ที่คุณลักษณะในทางการมีส่วนร่วม การเป็นเจ้าของร่วมกัน และนำไปสู่ความเข้มเข็งที่เราเห็น และเป็นเสมือนต้นทุนทางสังคม เป็นจริยธรรม หรือจริยวัต ที่เราทำอยู่อย่างเสมอจนนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเพราะอะไรเราจึงต้องทำ
ท้ายที่สุดกระบวนการเหล่านี้ยังคงต้องพัฒนาต่อไป อย่างไม่ให้เสียเปล่าในฐานทุนของตำบลอุโมงค์ที่อยู่ แต่ประเด็นสำคัญสำหรับการพูดคุยในกรรมการตรวจประเมินยังไม่หมด ผมเองคิดว่าเหลืออีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ใช่คำถาม นั่นคือการชวนกำหนดทิศทางใหม่ (ต่อยอด) ซึ่งคงต้องอาศัยโอกาสหน้า นำเสนอต่อไป ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติอ่านบทความนี้.
ในวันนั้นครับผมมีภาระกิจหลายด้านวิ่งวุ่นยังกะนินจาก เข้าเมือง ออกเมือง ไปประชุม ไปสอนเด็ก และกลับมาประชุม พอดีว่าการประชุมยังไม่เลิก ผมเลยได้เรียนรู้และรับฟังสิ่งดีๆที่ผู้ประเมินตั้งข้อคำถามที่คิดว่าผมเอง ก็อยากทราบอยากตีความเช่นกัน จึงขอถือโอกาสนำเสนอมุมมองความคิดลงในพื้นที่แห่งนี้
ว่ากันแล้วคำถามสำคัญที่น่าจะเป็นข้อคิดที่สุดคือ "เทศบาลอุโมงค์ทำอย่างไรให้คนเกิดความตระหนัก และมีส่วนร่วม" นี่เองเมื่อฟังแล้วก็รู้สึกขบคิดขึ้นมาทันควัน สาเหตุหนึ่งน่าจะเกิดจาก เราเองหลงลืมไปแล้วว่าทำไมเราจึงออกมาร่วมงานกับเทศบาล มาเรียนรู้ มามีส่วนร่วม และบางครั้งก็ทำตัวเสมือนเป็นเจ้าของ อาจเพราะคำสอนที่ฟังหัวเราแต่เริ่มต้นทำงาน ที่ท่านนายกพูดเสมอใน ๓ คำคือ "ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา" ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยที่ท้องถิ่นในลำพูน ยังมีอยู่ไม่กี่แห่ง และเห็นท้องถิ่นแรกๆ ที่ให้โอกาสประชาชนได้เป็นเจ้าของได้มากที่สุด
แต่กระบวนการเป็นเจ้าของ หรือกระบวนการมีส่วนร่วมเป็นเพียงปลายหรือผลลัพภ์ที่เกิดขึ้น ผมเองได้มีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งครับ ในรายวิชาจริยธรรมทางธุรกิจ ผศ.ประกาย นิมมานเหมินทร์ ซึ่งท่านให้ข้อคิดที่บังเอิญตรงใจและน่าจะเป็นคำตอบในโจทย์ของกระบวนการ สร้างความเข้มแข็งขององค์กร หรือการมีส่วมนั่นคือ การสร้าง "จริยธรรมองค์กร" หรือ การสร้าง "คุณลักษณะของคนอุโมงค์" ซึ่งผมคิดว่าหากมองในทางสังคมศาสตร์น่าจะตอบคำถามข้อนี้ได้
เนื่องด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากๆ ต้องมีการออกแบบข้อตกลง กติกา กฎหมาย แต่สำคัญที่สุดทุกคนควรมีแนวทางปฏิบัติ หรือ อาจกล่าวว่าเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ก็ว่าได้ คุณลักษณะเด่นของคนอุโมงค์ คือการมีความใกล้ชิด กล้าพูดกล้าคุยกับเทศบาล ทางหนึ่งอาจเกิดจากโอกาสนที่เทศบาลพยายามสร้างและทำให้ลดช่องว่าระหว่างคำ ว่า รัฐ และ ประชาชน เมื่อใจเปิด เจอบ่อย คุยง่าย ก็นำไปสู่การเชื่อมประสานความคิด กำหนดทิศทางเพื่อก้าวเดินอย่างไรร่วมกัน
ตำบลอุโมงค์จึงเป็นพื้นที่หนึ่งในการสร้างคน ที่คุณลักษณะในทางการมีส่วนร่วม การเป็นเจ้าของร่วมกัน และนำไปสู่ความเข้มเข็งที่เราเห็น และเป็นเสมือนต้นทุนทางสังคม เป็นจริยธรรม หรือจริยวัต ที่เราทำอยู่อย่างเสมอจนนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเพราะอะไรเราจึงต้องทำ
ท้ายที่สุดกระบวนการเหล่านี้ยังคงต้องพัฒนาต่อไป อย่างไม่ให้เสียเปล่าในฐานทุนของตำบลอุโมงค์ที่อยู่ แต่ประเด็นสำคัญสำหรับการพูดคุยในกรรมการตรวจประเมินยังไม่หมด ผมเองคิดว่าเหลืออีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ใช่คำถาม นั่นคือการชวนกำหนดทิศทางใหม่ (ต่อยอด) ซึ่งคงต้องอาศัยโอกาสหน้า นำเสนอต่อไป ขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติอ่านบทความนี้.
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ผ่านไปอย่างไวเว่อร์ อีกเดือนแล้วซินะ
อีกเดือนแล้วซะนิ สิงหาคม วันนี้ครับ(31 สิงหา 57) เป็นช่วงที่ยุ่งยากช่วงหนึ่งของชีวิต เวลาทำงานกระชั้น เวลาเรียนก็เร่ง จิตใจก็สับสัน อยากวิเคราะห์ตัวเอง จัดการเวลาให้ได้ หลายเรื่องซับซ้อน เรียงลำดับแทบไม่ทันเหมือนกัน จนตัวเรารู้สึกว่าอะไรเนี่ย
อาจเป็นเพราะช่วงหนึ่งที่เข้าอบรมครับ เรื่องโปรแกรม นนส.(นักสานพลังเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม) โดยส่วนใหญ่เป็นพี่ๆที่ทำงานกับสาธารณสุข เป็นกลุ่ม ขรก เราก็เป็นภาคประชาสังคมตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ได้โอกาสเรียนรู้ ได้เจอคนกว้าง โลกกว้าง ใจจึงเปิดกว้าง
แต่ยิ่งกว้างก็ประดุจยิ่งสับสนเหมือนกันว่าจะไปต่ออย่างไร บางทีเหมือนคนมีปัญญาแต่ปัญญาก็มากเกินไปจัดการกับความคิดไม่ค่อยทัน จัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ไม่เกิดประโยชน์ (การเขียน/พิมพ์) ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช่วงนี้ครับ จึงเสมือนช่วงมวลวิกฤติที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ ทั้งงาน เงิน กาเรียน และจังหวะก้าวต่อไปในอนาคต โชคดีที่เหมือนสภาพแวดล้อมอำนวยให้ทุกอย่างกำลังรับทราบเจตนาของเรา และสร้างทางที่ใช้ให้แก่เรา แต่เราเองยังต้องการข้อมูล หรือต้องจัดระบบความคิดอีกซักระยะเพื่อเปลี่ยนผ่านพัฒนาการไปสู่สิ่งใหม่
เพื่อนๆจงอย่าแปลกใจในความสับสนแห่งข้อความที่ท่านได้อ่านไป เพราะผมเองก็กำลังสับสนอยู่(สับสนเอาตอนแก่ ^^ ) แต่กระนั้นผมก็เชื่อมั่นว่าขณะนี้ชีวิตผมกำลังก้าวเข้าสู่มวลวิกฤติที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากสภาวะปัญหา คงอีกสักระยะเท่านั้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
เดือนนี้จึงผ่านไปอีกเดือนหนึ่งเข้าใกล้วันเกิดของผมอีกปีหนึ่งและใกล้เป้าหมายที่วางไว้ด้วย.......ราตรีสวัสดิ์
อาจเป็นเพราะช่วงหนึ่งที่เข้าอบรมครับ เรื่องโปรแกรม นนส.(นักสานพลังเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม) โดยส่วนใหญ่เป็นพี่ๆที่ทำงานกับสาธารณสุข เป็นกลุ่ม ขรก เราก็เป็นภาคประชาสังคมตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ได้โอกาสเรียนรู้ ได้เจอคนกว้าง โลกกว้าง ใจจึงเปิดกว้าง
แต่ยิ่งกว้างก็ประดุจยิ่งสับสนเหมือนกันว่าจะไปต่ออย่างไร บางทีเหมือนคนมีปัญญาแต่ปัญญาก็มากเกินไปจัดการกับความคิดไม่ค่อยทัน จัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ไม่เกิดประโยชน์ (การเขียน/พิมพ์) ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช่วงนี้ครับ จึงเสมือนช่วงมวลวิกฤติที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ ทั้งงาน เงิน กาเรียน และจังหวะก้าวต่อไปในอนาคต โชคดีที่เหมือนสภาพแวดล้อมอำนวยให้ทุกอย่างกำลังรับทราบเจตนาของเรา และสร้างทางที่ใช้ให้แก่เรา แต่เราเองยังต้องการข้อมูล หรือต้องจัดระบบความคิดอีกซักระยะเพื่อเปลี่ยนผ่านพัฒนาการไปสู่สิ่งใหม่
เพื่อนๆจงอย่าแปลกใจในความสับสนแห่งข้อความที่ท่านได้อ่านไป เพราะผมเองก็กำลังสับสนอยู่(สับสนเอาตอนแก่ ^^ ) แต่กระนั้นผมก็เชื่อมั่นว่าขณะนี้ชีวิตผมกำลังก้าวเข้าสู่มวลวิกฤติที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากสภาวะปัญหา คงอีกสักระยะเท่านั้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
เดือนนี้จึงผ่านไปอีกเดือนหนึ่งเข้าใกล้วันเกิดของผมอีกปีหนึ่งและใกล้เป้าหมายที่วางไว้ด้วย.......ราตรีสวัสดิ์
วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557
จุดแข็งที่พบเจอ : บันทึกความคิด 26 สิงหา 57 หน้าเกท 4 ทอ.เชียงใหม่
หากเปรียบผมเป็นลูกดอก ต้องคู่กับคันศร คันธนู หน้าไม้ ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดก็ล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งผมเองก็มักได้อยู่คู่กับศาสตราวุธที่ดีเสมอ ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมได้รับโอกาสให้ทำงานในชุมชน เติบโตสู่เทศบาล ขยายผลสู่โรงเรียน หรือกระทั่งภาคธุรกิจ การเมือง สังคม ซึ่งแต่ละส่วนล้วนเป็นเรื่องที่เกินความคาดหวัง และผมเองก็คิดในใจทุกครั้งว่าเป็นเรื่องที่เหนือจิตนาการ
สมัยเด็กๆผมเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชน “แฮรี่พอตเตอร์” ผมเองอ่านไปใจหนึ่งก็รู้สึกถึงความกังวล(ของเราเอง) ที่กลัวว่าสิ่งที่ตัวละครคิด หรือได้เจอ จะเป็นเพียงฝัน และถูกละทิ้งให้กลับไปสู่โลกเดิมที่เขาเป็น(ในเรื่องแฮรี่คือพ่อมด ทายาทของพ่อมดผู้ปราบตัวร้าย และถูกตามหา ป้องกัน ดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนดาวเด่นที่วงการพ่อมดแม่มดติดตาม ) ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างนักเพราะหลายสิ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า “เกินฝัน”
ทุกครั้งที่ผมคิด อยากทำงาน อยากทำอะไร ก็มักได้หน้าไม้ หรือคันศร ที่ดีที่คอยให้ผมยิงได้เข้าเป้าหมายอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่คิดอยากทำ ก็มักสำเร็จ ผมเองจึงครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คำตอบหนึ่งที่เจอกในหนัง “the ides of march การเมืองกินคน” ที่ตัวเองคุยกันถึงความซื่อสัตย์ สิ่งนี้เป็นเสมือนคุณลักษณะที่ทำให้นักยุทธศาสตร์การเมือง ตัวละครเด่นตัวหนึ่งในเรื่องยังคงอยู่ในวงการ และเป็นที่ยอมรับ นับถือ มีงานอยู่เสมอ ผมเองก็เชื่อว่าผมน่าจะมีคุณสมบัตินั้น “ความซื่อสัตย์”
ด้วยเหตุผลที่ผมพยายามคิดออก ก็คงเป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้เราอยู่ในจุดนี้ได้ ผมเองไม่ได้โปรยตัวเองว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ หรือเปลี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมีและเป็นประโยชน์ต่อโลกคงเป็นเรื่องนี้ และนี่อาจเป็นจุดแข็งที่ต่อจากนี้ ผมจะต้องพัฒนา ศักยะในด้านนี้ให้แข็งแรง เป็นประโยชน์ต่อโลก เป็นมิตรต่อนาย หรือลูกน้องในอนาคต เพราะผมมีสิ่งนี้ที่เป็นจุดแข็ง และจะต้องพัฒนาต่อไปให้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
แม้ทุกวันนี้โลกจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร้ซึ่งกรอบ กติกา แต่ผมจะรักษาใจให้อยู่ภายใต้คุณธรรม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาศัยความยืดหยุ่น เรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งดีๆนี้สร้างประโยชน์ให้สูงสุด
สมัยเด็กๆผมเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชน “แฮรี่พอตเตอร์” ผมเองอ่านไปใจหนึ่งก็รู้สึกถึงความกังวล(ของเราเอง) ที่กลัวว่าสิ่งที่ตัวละครคิด หรือได้เจอ จะเป็นเพียงฝัน และถูกละทิ้งให้กลับไปสู่โลกเดิมที่เขาเป็น(ในเรื่องแฮรี่คือพ่อมด ทายาทของพ่อมดผู้ปราบตัวร้าย และถูกตามหา ป้องกัน ดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนดาวเด่นที่วงการพ่อมดแม่มดติดตาม ) ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างนักเพราะหลายสิ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า “เกินฝัน”
ทุกครั้งที่ผมคิด อยากทำงาน อยากทำอะไร ก็มักได้หน้าไม้ หรือคันศร ที่ดีที่คอยให้ผมยิงได้เข้าเป้าหมายอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่คิดอยากทำ ก็มักสำเร็จ ผมเองจึงครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คำตอบหนึ่งที่เจอกในหนัง “the ides of march การเมืองกินคน” ที่ตัวเองคุยกันถึงความซื่อสัตย์ สิ่งนี้เป็นเสมือนคุณลักษณะที่ทำให้นักยุทธศาสตร์การเมือง ตัวละครเด่นตัวหนึ่งในเรื่องยังคงอยู่ในวงการ และเป็นที่ยอมรับ นับถือ มีงานอยู่เสมอ ผมเองก็เชื่อว่าผมน่าจะมีคุณสมบัตินั้น “ความซื่อสัตย์”
ด้วยเหตุผลที่ผมพยายามคิดออก ก็คงเป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้เราอยู่ในจุดนี้ได้ ผมเองไม่ได้โปรยตัวเองว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ หรือเปลี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมีและเป็นประโยชน์ต่อโลกคงเป็นเรื่องนี้ และนี่อาจเป็นจุดแข็งที่ต่อจากนี้ ผมจะต้องพัฒนา ศักยะในด้านนี้ให้แข็งแรง เป็นประโยชน์ต่อโลก เป็นมิตรต่อนาย หรือลูกน้องในอนาคต เพราะผมมีสิ่งนี้ที่เป็นจุดแข็ง และจะต้องพัฒนาต่อไปให้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
แม้ทุกวันนี้โลกจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร้ซึ่งกรอบ กติกา แต่ผมจะรักษาใจให้อยู่ภายใต้คุณธรรม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาศัยความยืดหยุ่น เรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งดีๆนี้สร้างประโยชน์ให้สูงสุด
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557
บทบาทภาคราชการ ธุรกิจ และประชาชน
จากข่าวที่เราไดเห็นเรื่อง กสทช กับ บ.แอปเปิล ที่ภาครัฐไทยได้เปิดเผยว่าจะมีโทรศัพท์ยี่ห้อดังเข้ามาขายในไทย ซึ่งนี่คือ "ความลับ" แต่รู้สึกว่าฝั่งของ กสทช. จะมองว่า นี่ไม่ใช่ความลับ ปัญหาสำคัญจึงกเกิดขึ้นว่า การที่หน่วยงานภาคเอกชน หรือภาคธุรกิจทำอะไรมันมีความสำคัญ เป็นเสมือนจุดชี้ขาด เป็นเรงกระตุ้น เป็นกลยุทธทางการตลาด ที่มักวางแผนเอาไว้แล้ว และควรดำเนินไปเช่นนั้น
การกระทำของ กสทช. ในกรณีนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรของ กสทช. เพราะเป็นการเปิดเผยข้อมูลของภาคธุรกิจ ที่เขาเองก็ปิดเป็นความลับ และในเมื่อเขาเป็นแบรนระดับโลก ทั้งโลกคนติดตาม คนไม่รู้ แต่ดันมี ภาคราชการของไทย ที่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นเสมือนเป้าชั้นดีที่ผู้แสวงหาข้อมูลทั่วโลกจะพุ่งเข้าใส่ และเห็นถึงความหย่อนประสิทธิภาพหรือวิสัยทัศน์ในการรักษาข้อมูลของภาคธุรกิจ แล้วอย่างนี้ใครเขาจะ "ไว้วางใจระบบราชการไทย" อีก
.
ที่กล่าวนี้เป็นเพียงปมหนึ่งที่เห็นอยู่ภายนอก แต่ลึกๆภายในนี่แสดงให้เห็นถึงความเข็งตัวของภาครัฐที่คิดว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทำอะไรก็ได้ แทนที่ท่าทีของหน่วยงานราชการจะเป็นมิตร หรือรู้ว่าผิดก็ควรหาวิธีการประนีประนอม กลับแข็งตัวและแสดงถึงอำนาจที่ตนเองมี ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจที่คิดว่ามีในไม่ช้าจะพบว่า ตนเองไม่เหลืออะไรเลย
.
ระบบราชการพึงเป็นที่พึงของประชาชน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และสำคัญคือ "เป็นมิตร" ที่ทุกคนอยากเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะนี่คือหน้าที่ของท่าน ในอนาคตเมื่อโลกเปิดออก ราชการจะเป็นเพียง ติ่งหนึ่งในสังคม และเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เสมือนมีเฟรนไชท์ อยู่ทั่วไป นั่นก็คงไม่ต่างอะไรกับ เซเว่น ที่ไปไหนๆก็เจอ ดาดดื่นแล้วคิดหรือว่าอำนาจที่คิดว่ามีในขณะนี้จะคุ้มกัน คุ้มภัยตนเอง หรือองค์กรได้ หากวัฒนธรรมในการบริหารองค์กรไม่ปรับตัว
.
ทุกวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ได้รับการตอบรับมากกว่าภาคราชการอื่น ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือการเป็นมิตร ลูกหลานของคนในพื้นที่ได้งานราชการใกล้บ้าน คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกที่พึงได้รับ ข้าราชการที่เข้ามา ก็ต้องมีความรักพื้นที่เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นเป็นที่รักของประชาชน หากหน่วยงานราชการอื่น หน่วยงานส่วนภูมิภาค หรือหน่วยงานส่วนกลางที่เข็งตัวเกินไป ยังไม่ปรับตัว ทั้งประสิทธิภาพ ตลอดจนท่าทีการทำงาน ดำเนินตนเองเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งอาจไม่มีที่ยืน เช่นหลายหน่วยงานที่กระแสสังคมกำลังเสนอให้ยุบ/ปรับ/ ปฏิรูป ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อำนาจของภาครัฐมีไว้เพื่อกำกับดูแล แต่จะดีกว่าไหม หากอำนาจนั้นให้เป็นมิตร เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
cr...http://men.kapook.com/view95789.html
การกระทำของ กสทช. ในกรณีนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรของ กสทช. เพราะเป็นการเปิดเผยข้อมูลของภาคธุรกิจ ที่เขาเองก็ปิดเป็นความลับ และในเมื่อเขาเป็นแบรนระดับโลก ทั้งโลกคนติดตาม คนไม่รู้ แต่ดันมี ภาคราชการของไทย ที่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นเสมือนเป้าชั้นดีที่ผู้แสวงหาข้อมูลทั่วโลกจะพุ่งเข้าใส่ และเห็นถึงความหย่อนประสิทธิภาพหรือวิสัยทัศน์ในการรักษาข้อมูลของภาคธุรกิจ แล้วอย่างนี้ใครเขาจะ "ไว้วางใจระบบราชการไทย" อีก
.
ที่กล่าวนี้เป็นเพียงปมหนึ่งที่เห็นอยู่ภายนอก แต่ลึกๆภายในนี่แสดงให้เห็นถึงความเข็งตัวของภาครัฐที่คิดว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทำอะไรก็ได้ แทนที่ท่าทีของหน่วยงานราชการจะเป็นมิตร หรือรู้ว่าผิดก็ควรหาวิธีการประนีประนอม กลับแข็งตัวและแสดงถึงอำนาจที่ตนเองมี ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจที่คิดว่ามีในไม่ช้าจะพบว่า ตนเองไม่เหลืออะไรเลย
.
ระบบราชการพึงเป็นที่พึงของประชาชน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และสำคัญคือ "เป็นมิตร" ที่ทุกคนอยากเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะนี่คือหน้าที่ของท่าน ในอนาคตเมื่อโลกเปิดออก ราชการจะเป็นเพียง ติ่งหนึ่งในสังคม และเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เสมือนมีเฟรนไชท์ อยู่ทั่วไป นั่นก็คงไม่ต่างอะไรกับ เซเว่น ที่ไปไหนๆก็เจอ ดาดดื่นแล้วคิดหรือว่าอำนาจที่คิดว่ามีในขณะนี้จะคุ้มกัน คุ้มภัยตนเอง หรือองค์กรได้ หากวัฒนธรรมในการบริหารองค์กรไม่ปรับตัว
.
ทุกวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ได้รับการตอบรับมากกว่าภาคราชการอื่น ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือการเป็นมิตร ลูกหลานของคนในพื้นที่ได้งานราชการใกล้บ้าน คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกที่พึงได้รับ ข้าราชการที่เข้ามา ก็ต้องมีความรักพื้นที่เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นเป็นที่รักของประชาชน หากหน่วยงานราชการอื่น หน่วยงานส่วนภูมิภาค หรือหน่วยงานส่วนกลางที่เข็งตัวเกินไป ยังไม่ปรับตัว ทั้งประสิทธิภาพ ตลอดจนท่าทีการทำงาน ดำเนินตนเองเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งอาจไม่มีที่ยืน เช่นหลายหน่วยงานที่กระแสสังคมกำลังเสนอให้ยุบ/ปรับ/ ปฏิรูป ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อำนาจของภาครัฐมีไว้เพื่อกำกับดูแล แต่จะดีกว่าไหม หากอำนาจนั้นให้เป็นมิตร เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
cr...http://men.kapook.com/view95789.html
วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ยามเมื่อพอฝนมา นายออสก็ออกร่าเริง
เมื่อวานนี้ครับ(5 สิงหา 57) ที่ลำพูนฝนตกเลยได้โอกาสอันเหมาะสมสำหรับการปลูกต้นไม้ที่ดองไว้นาน และเหมือนกับค้นพบ สิ่งที่ถูกค้นพบแต่เราเองที่ไมเข้าใจในกระบวนการเหล่านั้น ซึ่งทำให้ตระหนักอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้น ในช่วงที่จิตใจยังสับสนและเหมือนวุ่นวายในชีวิตของตัวเอง
ช่วงนี้ผมเองอ่านหนังสือหลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเงิน เรื่องประสิทธิภาพ การพัฒนาศักยภาพ ประเภทภวพ การcoaching, life coach, 7 habit 7อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ, ทำน้อยได้มาก, ใครขโมยเวลาฉันไป, ชาร์จไฟให้ชีวิต, คุณทำได้ทุกสิ่ง ที่คุณต้องการเสมอ, ชีวิตมั่งคั่ง ด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว บรา บรา บรา อาจเพราะผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า หากได้อ่านจึงอ่านอย่างบ้างคลั่ง
นั่นอาจจนงานหลายอย่างหยุดหมด พอออกไปนอกบ้านอยู่หน้างานคิดสารพัดเรื่องที่ต้องทำ กลับมาเปิดหน้าเฟส เอ๊อกกกกก ลืมหมด และหลงอยู่ในพะวังของ facebook ไม่ก็เรื่องการเขียนบทความออนไลน์ และออกทะเลไปด้วยการฟัง youtube การเงิน การลงทุน จนถึง The secret The power The meta secret .......... ไปกันขนาดนั้นเลย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม บางครั้งออกนอกบ้านก็เพื่อไปค้นหาวิธีคิด ไปใกล้คนสำเร็จ คนที่มีพลัง เพื่อกลับมาทำงาน ..... งานอะไรบางอย่าง ที่ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ชีวิตช่วงนี้ผมเองจึงนิยามว่า สับสนที่สุดในชีวิตช่วงที่ผ่านมา
มีคนเคยบอกผมว่าช่วงชีวิตคนเราจะมีรอบ 5 ปี รอบ 10 ปี ทุกรอบอย่างที่กล่าวไว้มักจะมีเรื่องต้องคิด ต้องตัดสินใจต้องฝ่าฝันบุกป่า ขึ้นดอย อะไรประมาณนั้นเต็มไปหมด ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่เตกต่าง งานที่ผมทำคืองานธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านถ่ายเอกสารเล็กๆ และรับจ้างทั่วไปที่เรียกหรูๆว่า Freelance
แต่นั่นก็เสมือนว่ายังไม่พอยังไม่ใช่ นอกจากนั้นก็ยังมีความสนใจ และเป็นงานอาสา นั่นคืองานสมัชชาสุขภาพ และพึ่งนึกเพิ่มได้อีกคือ "เจิง" การพัฒนาศิลปะยุทธสู่การเป็นที่รู้จัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นงานที่เป็นระบบ(system) ซึ่งงานที่ผมเรียกได้เต็มคำนั่นมันต้องมี output ชัดๆ แต่หลายงานทีชัด ก็กลับไม่มี outcome เป็น money ที่หล่อเลี้ยงตัวเอง (เอ๋ หรือว่ามี)
ทำให้รู้สึกว่าต้องเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไป ระหว่างที่สับสนกับชีวิตอยู่พักใหญ่ ฝนห่าหนึ่งจากพายุที่น่าจะชื่อ นากรี เทลงมาจิตใจที่ฟุ้งซ่านจึงแตกสลายและเฮฮาลงไปสู่หน้างานหน้าดินโคลน อย่างเมามัน เพราะดินที่เคยขุดไว้เตรียมสำหรับปลูกผักหวานบ้าน บัดนี้ท่านเทวดาแสดง status ว่าพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้ เลยรีบขุดและถอนต้นไม้ที่ชำไว้ ไปปลูกเกลี้ยงเลย
ระหว่างขุดไปทำไปก็เป็นปกติที่จะต้องเห็นต้นที่เพาะไว้ตายบ้าง หอยกินบ้าง เพราะผมเพาะเลี้ยงแบบธรรมชาติ(ปล่อยเทวดาฟ้าดินจัดการ) รดน้ำบ้าง เหมือนไม่ค่อยโอ๋ต้นผักหวานเท่าไหร่ แต่ผมก็เชื่อของผมนะ ว่าผักหวานบ้านเป็นพืชที่ไม่เรื่องมาก ผักฉลาดหากินเอง ตายยากด้วย ระหว่างที่ขุดอยู่นั้น หลายต้นตาย แต่ส่วนหนึ่งก็เจอต้นแบบที่อยู่ในรูปซ้ายมือนั่นแล ต้นผักหวานที่รากเกาะเต็ม ยึดแน่น และดึกขี้เถ้าแกลบที่เป็นวัสดุรองพื้นขึ้นมากเป็นปั้นใหญ่ เท่าลูกฟุตบอลก็ว่าได้ พลันทำให้คิดว่า "เราเองก็ไม่ต่างกัน กับต้นไม้ที่ถูกเพาะไว้" ในวัสดุที่เหมือนกันดินเท่ากัน ใส่ใจเหมือนกัน แต่ต้นเหล่านี้กลับมารากที่ดีกว่า อุดมกว่า และเอาชนะหอย หรือแมลงสัตรูพืชได้ดีกว่า
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจัดการอย่างไร หรือพวกมันมีวิธีการในการป้องกันตนเองเรียนรู้ อย่างที่ผมบอกว่าพวกนี้คือผักฉลาดจริงไหม แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคนข้อตระหนักว่า เราเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่เพาะอยู่ในกระถาง ต้องหากินเองต้องทำให้ไม่ตายให้ได้ เสมือนการสร้างปัญญา สร้างความพร้อม สร้างต้นทุน ไม่ใช่เพียงแค่ให้อยู่ได้เท่าน้น แต่ต้องงอกงามด้วย เพื่ออะไรหนะหรือ เพื่อวันที่ฝนตกไง วันที่พร้อม เมื่อประตูแห่งโอกาสเปิดออก เราจะได้พร้อมสำหรับการเติบโตในโลกกว้าง ที่ที่กว้างกว่า
แม้วันนี้ผมเองจะยังไปไม่ถึงความสำเร็จเหล่านั้นแต่ผมก็เชื่อว่ามันไม่ไกลแล้ว และแม้ว่าบางครั้งยังดีไม่พอแต่ผมก็พอเพียงโอกาสที่จะเติบโต ต้องขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ยังให้โอกาส ให้น้ำใจแก่ผมเสมอมาก แม้วันนี้ผมเองอาจเป็นผักหวานที่ยังรากไม่งอกงาม ไม่หยั่งลึก และต้นใบ อาจไม้อวบ สมบูรณ์พร้อมลงปลูก แต่เชื่อได้เถิดว่า ผมจะไม่เป็นต้นไม้ที่แคระแกรนแน่นอน ผมจะเติบโต สร้างกิ่งใบ สร้างประโยชน์ ยังความสุขแก่โลกนี้สังคมนี้ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือภาระกิจที่ทำให้ผมอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้อย่างมีเป้าหมาย และมีพลัง
ไม่อาจเรียกว่าเป็นสัจจะธรรม แต่ผมเองเหมือนค้นพบสิ่งที่เขาเคยค้นพบ ตีความหมายและนำมาปรับใช้กับชีวิต เสมือนยืนยันชัดเจนแน่ว่า ที่เราคิด ที่เราพัฒนาตน ที่เรากำลังสร้าง ฝึกฝน อย่างบ้าบิ่นมันไม่ผิดและไม่ไกลจากสิ่งที่มันจะต้องเป็นเลย จิงๆ นะ
ช่วงนี้ผมเองอ่านหนังสือหลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเงิน เรื่องประสิทธิภาพ การพัฒนาศักยภาพ ประเภทภวพ การcoaching, life coach, 7 habit 7อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ, ทำน้อยได้มาก, ใครขโมยเวลาฉันไป, ชาร์จไฟให้ชีวิต, คุณทำได้ทุกสิ่ง ที่คุณต้องการเสมอ, ชีวิตมั่งคั่ง ด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว บรา บรา บรา อาจเพราะผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า หากได้อ่านจึงอ่านอย่างบ้างคลั่ง
นั่นอาจจนงานหลายอย่างหยุดหมด พอออกไปนอกบ้านอยู่หน้างานคิดสารพัดเรื่องที่ต้องทำ กลับมาเปิดหน้าเฟส เอ๊อกกกกก ลืมหมด และหลงอยู่ในพะวังของ facebook ไม่ก็เรื่องการเขียนบทความออนไลน์ และออกทะเลไปด้วยการฟัง youtube การเงิน การลงทุน จนถึง The secret The power The meta secret .......... ไปกันขนาดนั้นเลย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม บางครั้งออกนอกบ้านก็เพื่อไปค้นหาวิธีคิด ไปใกล้คนสำเร็จ คนที่มีพลัง เพื่อกลับมาทำงาน ..... งานอะไรบางอย่าง ที่ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ชีวิตช่วงนี้ผมเองจึงนิยามว่า สับสนที่สุดในชีวิตช่วงที่ผ่านมา
มีคนเคยบอกผมว่าช่วงชีวิตคนเราจะมีรอบ 5 ปี รอบ 10 ปี ทุกรอบอย่างที่กล่าวไว้มักจะมีเรื่องต้องคิด ต้องตัดสินใจต้องฝ่าฝันบุกป่า ขึ้นดอย อะไรประมาณนั้นเต็มไปหมด ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่เตกต่าง งานที่ผมทำคืองานธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านถ่ายเอกสารเล็กๆ และรับจ้างทั่วไปที่เรียกหรูๆว่า Freelance
แต่นั่นก็เสมือนว่ายังไม่พอยังไม่ใช่ นอกจากนั้นก็ยังมีความสนใจ และเป็นงานอาสา นั่นคืองานสมัชชาสุขภาพ และพึ่งนึกเพิ่มได้อีกคือ "เจิง" การพัฒนาศิลปะยุทธสู่การเป็นที่รู้จัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นงานที่เป็นระบบ(system) ซึ่งงานที่ผมเรียกได้เต็มคำนั่นมันต้องมี output ชัดๆ แต่หลายงานทีชัด ก็กลับไม่มี outcome เป็น money ที่หล่อเลี้ยงตัวเอง (เอ๋ หรือว่ามี)
ทำให้รู้สึกว่าต้องเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไป ระหว่างที่สับสนกับชีวิตอยู่พักใหญ่ ฝนห่าหนึ่งจากพายุที่น่าจะชื่อ นากรี เทลงมาจิตใจที่ฟุ้งซ่านจึงแตกสลายและเฮฮาลงไปสู่หน้างานหน้าดินโคลน อย่างเมามัน เพราะดินที่เคยขุดไว้เตรียมสำหรับปลูกผักหวานบ้าน บัดนี้ท่านเทวดาแสดง status ว่าพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้ เลยรีบขุดและถอนต้นไม้ที่ชำไว้ ไปปลูกเกลี้ยงเลย
ระหว่างขุดไปทำไปก็เป็นปกติที่จะต้องเห็นต้นที่เพาะไว้ตายบ้าง หอยกินบ้าง เพราะผมเพาะเลี้ยงแบบธรรมชาติ(ปล่อยเทวดาฟ้าดินจัดการ) รดน้ำบ้าง เหมือนไม่ค่อยโอ๋ต้นผักหวานเท่าไหร่ แต่ผมก็เชื่อของผมนะ ว่าผักหวานบ้านเป็นพืชที่ไม่เรื่องมาก ผักฉลาดหากินเอง ตายยากด้วย ระหว่างที่ขุดอยู่นั้น หลายต้นตาย แต่ส่วนหนึ่งก็เจอต้นแบบที่อยู่ในรูปซ้ายมือนั่นแล ต้นผักหวานที่รากเกาะเต็ม ยึดแน่น และดึกขี้เถ้าแกลบที่เป็นวัสดุรองพื้นขึ้นมากเป็นปั้นใหญ่ เท่าลูกฟุตบอลก็ว่าได้ พลันทำให้คิดว่า "เราเองก็ไม่ต่างกัน กับต้นไม้ที่ถูกเพาะไว้" ในวัสดุที่เหมือนกันดินเท่ากัน ใส่ใจเหมือนกัน แต่ต้นเหล่านี้กลับมารากที่ดีกว่า อุดมกว่า และเอาชนะหอย หรือแมลงสัตรูพืชได้ดีกว่า
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจัดการอย่างไร หรือพวกมันมีวิธีการในการป้องกันตนเองเรียนรู้ อย่างที่ผมบอกว่าพวกนี้คือผักฉลาดจริงไหม แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคนข้อตระหนักว่า เราเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่เพาะอยู่ในกระถาง ต้องหากินเองต้องทำให้ไม่ตายให้ได้ เสมือนการสร้างปัญญา สร้างความพร้อม สร้างต้นทุน ไม่ใช่เพียงแค่ให้อยู่ได้เท่าน้น แต่ต้องงอกงามด้วย เพื่ออะไรหนะหรือ เพื่อวันที่ฝนตกไง วันที่พร้อม เมื่อประตูแห่งโอกาสเปิดออก เราจะได้พร้อมสำหรับการเติบโตในโลกกว้าง ที่ที่กว้างกว่า
แม้วันนี้ผมเองจะยังไปไม่ถึงความสำเร็จเหล่านั้นแต่ผมก็เชื่อว่ามันไม่ไกลแล้ว และแม้ว่าบางครั้งยังดีไม่พอแต่ผมก็พอเพียงโอกาสที่จะเติบโต ต้องขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ยังให้โอกาส ให้น้ำใจแก่ผมเสมอมาก แม้วันนี้ผมเองอาจเป็นผักหวานที่ยังรากไม่งอกงาม ไม่หยั่งลึก และต้นใบ อาจไม้อวบ สมบูรณ์พร้อมลงปลูก แต่เชื่อได้เถิดว่า ผมจะไม่เป็นต้นไม้ที่แคระแกรนแน่นอน ผมจะเติบโต สร้างกิ่งใบ สร้างประโยชน์ ยังความสุขแก่โลกนี้สังคมนี้ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือภาระกิจที่ทำให้ผมอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้อย่างมีเป้าหมาย และมีพลัง
ไม่อาจเรียกว่าเป็นสัจจะธรรม แต่ผมเองเหมือนค้นพบสิ่งที่เขาเคยค้นพบ ตีความหมายและนำมาปรับใช้กับชีวิต เสมือนยืนยันชัดเจนแน่ว่า ที่เราคิด ที่เราพัฒนาตน ที่เรากำลังสร้าง ฝึกฝน อย่างบ้าบิ่นมันไม่ผิดและไม่ไกลจากสิ่งที่มันจะต้องเป็นเลย จิงๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
เกษตรสร้างภาพกลับมาอีกครั้ง (ถอนกล้า)
วันนี้(3 สิงหา) การสร้างภาพอีกครั้งสำหรับกิจกรรมปลูกนาข้าว การเรียนรู้มีอยู่มากมายหลายขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้เรียนรู้ หรือไม่รู้ว่าได้เรียนอะไร ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและอยากรู้อยากเรียน ไปเสียหมด จนบางคนก็สงสัย "บ้าหรือเปล่า" ผมก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า เราหนะบ้าไหมทำไมไม่จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที เที่ยวไปเนียนกับนั่น โน้น นี่ ไปทั่ว แต่ภายใต้คำถามในจิตใจกลับพบว่า คำว่า บ้า กับคำว่า ใฝ่รู้ มันนั่งอยู่ข้างกัน
การทำการเกษตรผมเองหวังให้เป็นที่พึ่งของขีวิต เพียงแต่ว่า ผมเองก็กลับไม่ได้เชื่อสนิทใจว่า จะทำให้เลี้ยงชีวิตได้(อาจเพราะคิดอย่างงี้เกษตรจึงไม่เลี้ยงเราทั้งหมด) เพราะเกษตรกรรมคือวิถี วิถีแห่งการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้(นั่นหมายถึง เป็นงานเสริม เป็น Passive income) ผมจึงสนใจและไปเนียนเพื่อเรียนรู้ ให้รู้จริง เข้าใจจริง ทำได้จริง มีน้องๆหลายคนที่ทำเรื่องนา เป็นคนหนุ่ม-สาว ที่สนใจวิถีเกษตรผมก็เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาเสมือนเที่ยวเสาะหาหนทางที่ชอบทีใช่ จนใช้เวลาไปเพื่อการลงทุนมากมายเหลือกิน
นับจากนี้หนทางในการพัฒนางาน พัฒนากิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ชีวิตจะชัดเจนขึ้น สดใสขึ้น มีแรงมีพลังในการก้าวเดิน คืนนี้จะสรุปให้เป็นรูปร่างว่าเราจะก้าวเดินชีวิตต่อไปอย่างไร เกษตรกรรมเป็นทางออกหนึ่ง เสมือนศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประกอบติดตัวไว้ เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด ผมตั้งใจที่ปลูกนา เอาข้าว เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร มีข้าวไว้กินตลอดปี เพียงเท่านั้นผมก็จะใช้ชีวิตต่อสู้ ทำงาน รับใช้สังคมได้ดังที่ใจปรารถนาแล้ว และสนุกกับชีวิต
ผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อ ใช้ชีวิต ทำสิ่งที่ชอบ ต้องการสร้างประโยชน์ สร้างความสุขแก่ผู้คน และสร้างสิ่งดี ทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลาน ซึ่งก็ยังตอบยากว่าคืออะไร มันอธิบายได้อย่างเป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่ผมก็ยั่งเชื่อมั่น และมุ่งหน้าทำสิ่งใหญ่ และพัฒนาตนเองไปทุกวัน
วันนี้ขอบคุณป้าจั๋น อ้ายอาจ ลุงหมื่น ที่ให้กระบวนการเรียนรู้และประสบการณ์จริงใจการถอนกล้าข้าว พรุ่งนี้จะลงปลูกด้วยนะคับ อ่อ ขอบคุณพี่หน่อยด้วย ที่ถ่ายภาพไม่งั้นคงไม่มีเกษตรสร้างภาพแน่...ฮึฮึ
การทำการเกษตรผมเองหวังให้เป็นที่พึ่งของขีวิต เพียงแต่ว่า ผมเองก็กลับไม่ได้เชื่อสนิทใจว่า จะทำให้เลี้ยงชีวิตได้(อาจเพราะคิดอย่างงี้เกษตรจึงไม่เลี้ยงเราทั้งหมด) เพราะเกษตรกรรมคือวิถี วิถีแห่งการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้(นั่นหมายถึง เป็นงานเสริม เป็น Passive income) ผมจึงสนใจและไปเนียนเพื่อเรียนรู้ ให้รู้จริง เข้าใจจริง ทำได้จริง มีน้องๆหลายคนที่ทำเรื่องนา เป็นคนหนุ่ม-สาว ที่สนใจวิถีเกษตรผมก็เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาเสมือนเที่ยวเสาะหาหนทางที่ชอบทีใช่ จนใช้เวลาไปเพื่อการลงทุนมากมายเหลือกิน
นับจากนี้หนทางในการพัฒนางาน พัฒนากิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ชีวิตจะชัดเจนขึ้น สดใสขึ้น มีแรงมีพลังในการก้าวเดิน คืนนี้จะสรุปให้เป็นรูปร่างว่าเราจะก้าวเดินชีวิตต่อไปอย่างไร เกษตรกรรมเป็นทางออกหนึ่ง เสมือนศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประกอบติดตัวไว้ เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด ผมตั้งใจที่ปลูกนา เอาข้าว เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร มีข้าวไว้กินตลอดปี เพียงเท่านั้นผมก็จะใช้ชีวิตต่อสู้ ทำงาน รับใช้สังคมได้ดังที่ใจปรารถนาแล้ว และสนุกกับชีวิต
ผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อ ใช้ชีวิต ทำสิ่งที่ชอบ ต้องการสร้างประโยชน์ สร้างความสุขแก่ผู้คน และสร้างสิ่งดี ทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลาน ซึ่งก็ยังตอบยากว่าคืออะไร มันอธิบายได้อย่างเป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่ผมก็ยั่งเชื่อมั่น และมุ่งหน้าทำสิ่งใหญ่ และพัฒนาตนเองไปทุกวัน
วันนี้ขอบคุณป้าจั๋น อ้ายอาจ ลุงหมื่น ที่ให้กระบวนการเรียนรู้และประสบการณ์จริงใจการถอนกล้าข้าว พรุ่งนี้จะลงปลูกด้วยนะคับ อ่อ ขอบคุณพี่หน่อยด้วย ที่ถ่ายภาพไม่งั้นคงไม่มีเกษตรสร้างภาพแน่...ฮึฮึ
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
"ความมั่นคงทางอาหาร" คำฟังยาก
ยอมรับว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เท็จจริงแล้ว คำนี้ คืออะไร แต่ในความหมายของผม การมีอาหารให้กินทุกวัน ผมว่านี่คือความมั่นคงแล้ว จะเรียกอาหารปลอดภัย อาหารอินทรีย์ ก็สุดแล้วแต่ เพราะผมเองปลูกเอง กินเอง เหลือจึงขาย(เพราะเป็นการปลูกเพื่อบริโภค) แต่บางส่วนก็เริ่มปลูกเชิงพานิชย์แต่ก็รักษาจุดของการไม่ใส่สารเคมี ไม่ใช่จะทำเป็นอินรีย์แบบสุดโต่ง แต่เพราะผมคิดว่า หากเป็นต้นทุนที่เกินจำเป็น ก็ไม่จำเป็น ผมมีดินที่ดี มีปุ๋ยคอกที่ยอดเยี่ยม แล้วจะต้องเติมอะไรอีก เติมปุ๋ยแบบคนที่ผ่านไปผ่านมาเขาคาดเขา บางครั้งผมก็เกิดคำถามตั้งกลับไปว่า "รู้ได้ไงว่า มันต้องการ"
ทั้งสำรับนี้มีเพียงไข่ ลูกชิ้น และข้าวกล้อง(รวมเครื่องปรุงอีกนิดหน่อย)
ที่ผมต้องซื้อ ผมชื่อว่านี้เองคือความมั่นคงทางอาหาร แต่ผมกินบ่อย
ก็ชักเบื่อๆแล้วนั่นอาจแสดงถึงความไม่มั่นคง ต้องปลูกเพิ่มความหลากหลาย
เพื่อทำให้กินอย่างสบายขึ้น
เพราะหลักสำคัญของการผลิตวัตถุดิบส่วนใหญ่เองได้เท่ากับเราลดรายใจไปในตัว
และเพิ่มรายได้ซึ่งเป็นผลกระทบ หรือผลพลอยได้ (Impact) การที่มีรายจ่ายลดลง
นั่นแสดงว่าเรารักษารายได้ไว้มากขึ้น
ความมั่นคงเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างเองก่อน โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน การเที่ยวแจกความรู้โดยไม่เคยปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากจะทำให้คนเชื่อได้ ผมจึงต้องทดลองทำ เพราะสังคมเราอยากสำเร็จต้องตามคนที่สำเร็จ อยากมีประสบการณ์ต้องคุยกับคนที่มี "ประสบการณ์" ผมจึงต้องสร้างประสบการณ์ เพื่อการถ่ายทอดในอนาคต (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 สิงหาคม 2557)
ความมั่นคงเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างเองก่อน โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน การเที่ยวแจกความรู้โดยไม่เคยปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากจะทำให้คนเชื่อได้ ผมจึงต้องทดลองทำ เพราะสังคมเราอยากสำเร็จต้องตามคนที่สำเร็จ อยากมีประสบการณ์ต้องคุยกับคนที่มี "ประสบการณ์" ผมจึงต้องสร้างประสบการณ์ เพื่อการถ่ายทอดในอนาคต (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 สิงหาคม 2557)
โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน
....เช้านีั(1 สิงหา 57) พลันคิดถึงระหว่างเก็บผักเชียงดาในสวน เก็บผักปลังเพื่อนำไปฝากป้าต๋าขายฝาก รู้สึกสบายใจ และรู้สึกมีความมั่นคงทางอาหาร อย่างหนึ่ง หลังจากเก็บมาแล้วแม่ก็ซื้อผักปลังหน้าสวน ก็ได้นิดหน่อย เพราะแกเคยซื้อไปแล้วเอาไปทำแกงขาย
....
....
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เกือบจะไร้สติ ไปแล้วซินะ : ทบทวนตัวตนกับงานอาสา
....นึกถึงเพื่อนสาวคนหนึ่งที่เคยถามว่า ทำงานสังคมกี่งาน ผมก็ตอบว่า ทำงานเดียว "สมัชชาสุขภาพ" สาเหตุที่เรียกว่า "งาน" เพราะงานในทัศนะผมคือต้องลงมือทำทั้งระบบ อย่างต่อเนื่อง วนจนกว่าจะเสร็จเป็นชิ้นงาน นำกลับวิเคราะห์พัฒนาต่อไป สิ่งเหล่านี้ผมจึงเรียกว่างาน แต่กับหลายกิจกรรมที่ทำ ผมก็ยังไม่ถือเป็นงาน เป็นเพียง "กิจกรรม"(Action) หนึ่งในสังคม ในชีวิตที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น
....เมื่อวานนี้(๓๐ กค ๕๗) ได้โอกาสเยี่ยมเยือนผู้รู้ท่านหนึ่ง คุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของงานพัฒนา งานที่อาสา ไม่ใช่งานที่อาศัย พัฒนาแนวคิดและวางแผนเพื่อจะก้าวต่อไป จนกระทั้งรู้สึกว่า นี่มันต้องใช้เวลา มันเป็นภาระ มันต้องการเงิน เงินเราก็ไม่มีจะทำได้อย่างไร "ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นอีกแล้ว" ???
....และผมก็ละเลย ไม่ตระหนักอีกครั้งว่า "นี่คืองานอาสา" ไม่ใช่งานอาศัย
....สิ่งสำคัญของการทำ"งานพัฒนา"คืองานนี้เป็นงานอาสา ไม่ใช่งานอาศัย(นึกถึงลุงสมัย อดีตที่ปรึกษานายกเทศบาลเมือง ในบรรยากาศร้านกาแฟริมทางเลย) บางครั้งเราเองก็หลง สนุก และให้เวลากับมันมากเกินไป จนเราเอาชีวิต เอาเวลาของเราไปลงทุนกับสิ่งเหล่านี้มาก ซึ่งเรามักละเลยและคาดหวังว่าจะตอบแทนกลับมาเป็นกำไร เป็นเม็ดเงิน
.....งานที่เราทำนี้จริงอยู่คือการลงทุน(ทางสังคม) งานที่ทำเพื่อศึกษาผู้คน สร้างการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ และสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้คน(Connection) เพื่อทำให้เราเป็นเราก้าวข้ามศักยภาพเดิม สร้างศัภยพาใหม่ สร้างโอกาสดีๆในชีวิต เพราะเมื่อตัวเราพัฒนา และหน้าต่างแห่งโอกาศเปิดออกเราก็พร้อมที่จะเดินทางก้าวเข้าสู่โอกาสนั้น อีกทั้งเป็นประโยชน์แก่ผู้คน แก่สังคม แก่ส่วนรวมด้วย
....ส่วน"เงิน"หนะเหรอ สิ่งเหล่านั้นจะตามมาเอง เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เงินจะรังเกียจคนที่โหยหา ค่ำครวญ รอคอย ซึ่งเงินจะไม่ใส่ใจ แต่เงินจะรู้สึกดีหากมีคน "รัก" มีคนดูแล แต่หากหลงมันมากเกินไป เงินก็วิ่งหนี่เช่นกัน(คิดๆไปก็เหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะเนี่ย 555+)
....งานที่ผมทำคืองานอาสา งานที่ลงทุนด้วยเวลาแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสัมพันธ์ มิตรภาพ ที่นอกเหนือจากงานประจำ(งานที่ผมสร้างเอง งานที่ผมเป็นเจ้าของ)จะหาได้ งานเหล่านี้ทำให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ให้เกิดขึ้น จุดสำคัญคือเราเองต้องสร้างสมดุลระหว่างงานอาสา และงานอาศัย ไม่ให้สิ่งใดเป็นภาระของสิ่งใด
....ผมเองทำธุรกิจร้านถ่ายเอกสาร เป็นร้านเล็กๆ มีงานพอสมควรเรียกว่าอยู่ได้ไม่เหงาแต่อาจเพราะเรากำหนดว่า เราทำเป็นเชิงสำนักงาน(Office) หรือเป็น Home office เลยทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้ใช้บริการร้านตัวเองมากกว่า ดีกว่าจะทำให้เงินไหลออก หลายครั้งที่ผมเองสับสนเรื่องงานอาสา และหลงคิดว่า สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นงานที่เลี้ยงตัวตน แต่ทว่าหลักคิดนี้ถือว่า ออกทะเลไปไกลว่าความคิดตั้งต้นมากอยู่มาก หลายครั้งต้องดึงตัวตนกลับมา(ทบทวนตนเอง)
...."การไร้ตัวตน" คือแนวคิดของผู้รู้ท่านหนึ่งที่ผมได้สนทนาด้วย คือการทำเช่นนี้ทำให้เราไม่ผูกติด ไม่ต้องจมลึก ไม่ต้องผูกติดกับงานอาสา งานพัฒนา มากเกินไป งานพัฒนาต้องอาศัยการร่วมมือของคนทุกคน การเขย่าในทางนโยบาย การประสานผ่านแผน การลงมือปฏิบัติ แต่หากยังติดยึดกว่า เรื่องนี้เราทำ งานนี้เราปั้น เราก็จะเป็นผู้ปฏิบัติและต้องรับภาระมากมายที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายทุนทางเวลา ทุนทางทรัพยากร ที่เราทุ่มลงไป เราไม่ได้อะไรกลับคืนมา แม้ความสัมพันธ์ หรือมิตรภาพ วันหนึ่งเราก็เกิดท้อ แต่หากเราเลือกกำหนดตัวตน สร้างผลให้เกิด โดยอาศัยหลักคิดนี้ได้งาน ได้พัฒนา และได้เวลากลับคืนไม่ต้องจมลึกกับปัญหา ผมมองว่าหลักคิดนี้ทำให้เราอยู่ได้ทั้งงานอาสา และงานอาศัย งานประจำและงานพัฒนา
....หลายครั้งที่ผมหลงคิดว่าจะต้องทำ และคิดว่างานอาสา คืองานประจำ แต่ถึงต้อนนี้ต้องดึงตัวเองกลับมา อยู่กับปัจจุบัน กำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัด และกำหนดเป้าหมายของชีวิตให้ชัด เป้าหมายการเงิน เป้าหมายตำแหน่ง เป้าหมายประโยชน์ และเป้าหมายผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้คงจะสำเร็จ ชัดเจน และมีพลังหล่อเลี้ยงตัวเรา ใจเราได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุดในไม่ช้า
หน้าร้านบ้านไร่ก๊อพปี้ปริ้นส์
31 กค 57
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
บ่าหินเกิดกับต้า (ก้อนหินกับท่าน้ำ) วิเคราะห์เพื่อก้าวต่อไป
....หากจะว่าไปผมเองคงเป็นผลผลิตจากคำว่า "สำนึกรักบ้านเกิด" ก่อนหน้านี้ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า คนเราต้องเกิดและเติบโตในถิ่นฐานของตนเอง สร้างประโยชน์ สร้างความสุขให้เกิดขึ้น
....จนกระทั่ววันนี้ผมมองว่า ผมเองอาจคิดผิดไป
....สิ่งกระตุ้นสำคัญคือคำพูดแบบภาคเหนือ "บ่อหินเกิดกับต้า" หรือ หินที่เกิดแต่ท่าน้ำ คือคนที่เกิดจากถิ่นฐานที่นั่นจริงๆ ผมเองพยายามสร้างตัวตน และพัฒนาให้เป็นหินที่มีค่า เป็นหินที่มีประโยชน์ และพยายามที่จะสร้างชีวิตที่ดี เพื่อเป็นผู้รับใช้สังคมที่ดี เพียงแต่ว่า ทฤษฎีนี้อาจผิด
....หลายครั้งที่รู้สึกว่าแนวคิดนี้ใช้ไม่ได้ผล คนที่ได้รับการยอมรับ คนที่ได้รับการยกย่อง เชื่อถือ เชื่อมั่น มักจะเป็นคนที่อยู่นอกองค์กร อยู่นอกพื้นที่ นอกหมู่บ้าน หรือนอกท่า ที่เกิดขึ้น
....ผมเเลยกลับมาคิดว่านี่เองอาจเป็นกุศโลบายที่แยบคายของคนโบราณที่สอนคน เพราะ "หิน"อย่างไรก็คงเป็นหิน หากไม่ร่อน ไม่เจีย ไม่ขัด ให้เกิดเป็นเพชรหรือกลายเป็นเพชร ก็ต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอม เปลี่ยนแปลงธาตุ จากดิน สู่หิน จากหิน สู่เพชร มันต้องอาศัยกระบวนการ เวลา และปัจจัยอื่น ที่จะพัฒนาตนเอง ก่อนจึงจะมีค่า มีคุณค่า แต่เมื่อหินอยู่ในถิ่นเกิด หินก็ยังคงเป็นหิน ไม่แตกต่างจากเดิมหรือสภาพเดิมที่มันเป็น
....จึงคิดถึงหลักของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งต้องหมุนวน ไหวเวียน จึงจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ สิ่งดีงาม "น้ำ"เมื่ออยู่ในเดิมก็กลายเป็นน้ำเน่า "อากาศ"เมื่อไม่ไหววนก็เป็นอากาศเสีย "ดิน"เคลื่อนที่ไม่เติมแร่ก็ใช้การไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนต้องไหวเวียน หมุนวน "คน"เองก็เช่นกัน
....นี่เองผมจึงพลันคิดได้ว่า ผมเองแม้จะมีสำนึกรักบ้านเกิด แต่สำนึกรักบ้านเกิดนั่นก็หาใช่ว่าจะต้องอยู่ ต้องแบก ไม่ต้องพัฒนาให้อยู่ในสภาวะใหม่ หรือไปเพิ่มเติม ไปสร้างประโยชน์แก่พื้นที่อื่นนั้นก็ไม่ใช่ คนเราต้องก้าวหน้า ต้องพัฒนา และก้าวข้ามศักยภาพเดิมอยู่เสมอ
....สังคมเราเป็นสังคมที่ต้องไหววน คนก็ต้องหมุนเวียน ไปสร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับ บ่มเพาะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม แต่นอกพื้นที่ต่างพื้นที่ สร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับจากถิ่นอื่น สร้างความเจริญให้แก่ต่างถิ่น เพราะนี่คือหลักธรรมชาติ หลักการที่ต้องไหวเวียน ถ่ายเท แต่ก็ไม่ละเลยละทิ้งบ้านเกิดของตนเอง นี่จึงอาจเป็นนิยามของคำว่า "สำนึกรักบ้านเกิด" รักที่ไม่ใช่หลงไม่ใช่มัวเมาอยู่แต่ในแหล่งเดิม ถิ่นเดิม ท่าน้ำเดิม และโหยหาที่จะเป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นรักที่มีระยะห่าง ไม่ใกล้ ไม่ไกล และยังคงดูแลใส่ใจบ้านเกิดเมืองนอนเสมอ
....หินเกิดกับท่า ก็ใช่ว่าจะต้องอยู่ให้เป็นหินเสมอไป ย่อมต้องพัฒนาตน ปรับเปลี่ยนศักยภาพ แปรธาตุให้เต็มเปี่ยม ถึงพร้อมเสียก่อน แล้วจึงจะกลับมาเป็นหิน แม้จะไม่ใช่เพชรในสายตาของหินในแห่งน้ำ ท่าน้ำเดิมที่ตนอยู่เกิดมา กลับมองเป็นหินก้อนหนึ่งเช่นเดิม แต่ก็จะเป็นหินที่มีคุณค่า และผ่านประโยชน์ตามที่พึงจะเป็นแล้วอย่างที่สุด
....ท้ายที่สุดแล้วผมเสมือนค้นพบว่าเราจะต้องเดินออกไปยังโลกภายนอก สร้างคุณค่าในตน สร้างประโยชน์ให้โลก โดยไม่ละเลย ไม่ลืมโลกภายใน หรือบ้านเกิดของตนเอง
หินและท่าน้ำ
ออส หละปูน
....จนกระทั่ววันนี้ผมมองว่า ผมเองอาจคิดผิดไป
....สิ่งกระตุ้นสำคัญคือคำพูดแบบภาคเหนือ "บ่อหินเกิดกับต้า" หรือ หินที่เกิดแต่ท่าน้ำ คือคนที่เกิดจากถิ่นฐานที่นั่นจริงๆ ผมเองพยายามสร้างตัวตน และพัฒนาให้เป็นหินที่มีค่า เป็นหินที่มีประโยชน์ และพยายามที่จะสร้างชีวิตที่ดี เพื่อเป็นผู้รับใช้สังคมที่ดี เพียงแต่ว่า ทฤษฎีนี้อาจผิด
....หลายครั้งที่รู้สึกว่าแนวคิดนี้ใช้ไม่ได้ผล คนที่ได้รับการยอมรับ คนที่ได้รับการยกย่อง เชื่อถือ เชื่อมั่น มักจะเป็นคนที่อยู่นอกองค์กร อยู่นอกพื้นที่ นอกหมู่บ้าน หรือนอกท่า ที่เกิดขึ้น
....ผมเเลยกลับมาคิดว่านี่เองอาจเป็นกุศโลบายที่แยบคายของคนโบราณที่สอนคน เพราะ "หิน"อย่างไรก็คงเป็นหิน หากไม่ร่อน ไม่เจีย ไม่ขัด ให้เกิดเป็นเพชรหรือกลายเป็นเพชร ก็ต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอม เปลี่ยนแปลงธาตุ จากดิน สู่หิน จากหิน สู่เพชร มันต้องอาศัยกระบวนการ เวลา และปัจจัยอื่น ที่จะพัฒนาตนเอง ก่อนจึงจะมีค่า มีคุณค่า แต่เมื่อหินอยู่ในถิ่นเกิด หินก็ยังคงเป็นหิน ไม่แตกต่างจากเดิมหรือสภาพเดิมที่มันเป็น
....จึงคิดถึงหลักของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งต้องหมุนวน ไหวเวียน จึงจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ สิ่งดีงาม "น้ำ"เมื่ออยู่ในเดิมก็กลายเป็นน้ำเน่า "อากาศ"เมื่อไม่ไหววนก็เป็นอากาศเสีย "ดิน"เคลื่อนที่ไม่เติมแร่ก็ใช้การไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนต้องไหวเวียน หมุนวน "คน"เองก็เช่นกัน
....นี่เองผมจึงพลันคิดได้ว่า ผมเองแม้จะมีสำนึกรักบ้านเกิด แต่สำนึกรักบ้านเกิดนั่นก็หาใช่ว่าจะต้องอยู่ ต้องแบก ไม่ต้องพัฒนาให้อยู่ในสภาวะใหม่ หรือไปเพิ่มเติม ไปสร้างประโยชน์แก่พื้นที่อื่นนั้นก็ไม่ใช่ คนเราต้องก้าวหน้า ต้องพัฒนา และก้าวข้ามศักยภาพเดิมอยู่เสมอ
....สังคมเราเป็นสังคมที่ต้องไหววน คนก็ต้องหมุนเวียน ไปสร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับ บ่มเพาะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม แต่นอกพื้นที่ต่างพื้นที่ สร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับจากถิ่นอื่น สร้างความเจริญให้แก่ต่างถิ่น เพราะนี่คือหลักธรรมชาติ หลักการที่ต้องไหวเวียน ถ่ายเท แต่ก็ไม่ละเลยละทิ้งบ้านเกิดของตนเอง นี่จึงอาจเป็นนิยามของคำว่า "สำนึกรักบ้านเกิด" รักที่ไม่ใช่หลงไม่ใช่มัวเมาอยู่แต่ในแหล่งเดิม ถิ่นเดิม ท่าน้ำเดิม และโหยหาที่จะเป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นรักที่มีระยะห่าง ไม่ใกล้ ไม่ไกล และยังคงดูแลใส่ใจบ้านเกิดเมืองนอนเสมอ
....หินเกิดกับท่า ก็ใช่ว่าจะต้องอยู่ให้เป็นหินเสมอไป ย่อมต้องพัฒนาตน ปรับเปลี่ยนศักยภาพ แปรธาตุให้เต็มเปี่ยม ถึงพร้อมเสียก่อน แล้วจึงจะกลับมาเป็นหิน แม้จะไม่ใช่เพชรในสายตาของหินในแห่งน้ำ ท่าน้ำเดิมที่ตนอยู่เกิดมา กลับมองเป็นหินก้อนหนึ่งเช่นเดิม แต่ก็จะเป็นหินที่มีคุณค่า และผ่านประโยชน์ตามที่พึงจะเป็นแล้วอย่างที่สุด
....ท้ายที่สุดแล้วผมเสมือนค้นพบว่าเราจะต้องเดินออกไปยังโลกภายนอก สร้างคุณค่าในตน สร้างประโยชน์ให้โลก โดยไม่ละเลย ไม่ลืมโลกภายใน หรือบ้านเกิดของตนเอง
หินและท่าน้ำ
ออส หละปูน
วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เลิกทำดี the serie : เสี้ยวความคิด ประสบการณ์ และก้าวต่อไป
เลิกทำดี the serie : เสี้ยวความคิด ประสบการณ์ และก้าวต่อไป
......กำลังอยู่ระหว่างการเขียน .......
......กำลังอยู่ระหว่างการเขียน .......
วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เรื่องเล่าเดินดอนเมือง : คราวเข้าโปรแกรม สสน.57

ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่อนเก่าแล้ว ยังเป็นโอกาศได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบชุมชน

ท่องกรุง ย่ำดิน รับกลิ่นเมือง
นิสัยการเดินกรุง เดินเมือง หรือท่องชนบท เป็นสิ่งที่ติดอยู่เสียแล้ว ตังแต่ครั้นเป็นนักเรียนจากเทศบาล การได้ไปศึกษาดูงาน มักมีโอกาสสัมผัสบรรยากาศของเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้มนเสน่ห์ที่มักพาตัวเราให้ค้นพบชีวิตที่สนุกหลายอย่าง คราวนี้ก็เช่นกัน เรื่องราวมันเริ่มหลังคืนที่ เยอรมันเข้ารองรอง คืนนั้นหนักไปหน่อย(อะนะ) เลยออกมาเดินทาอะไรกิน แบบว่าร้อนๆ ชื่นใจ เลยได้สัมผัสกลิ่นอายของเมืองดอน (ดอนเมือง) เป็นเช้าแรก

สถานีขนส่งขนไปดาวอังคาร
ยอมรับว่าตอนแรกแปลกใจมากเพราะใน "เช็คอิน" ของมือถือมีตำแหน่งนี้ เห็นก็รู้สึกฮาดี แต่ลึกๆก็ชักแม่แน่ใจว่า เป็นสถานีอะไร "เครื่องบิน รถโดยสาร หรือรถไฟ" แต่ดูๆแล้ว มันเป็นภาพสะท้อนความยากลำบากของคนพื้นที่ คนดอนเมือง คนเมืองกรุงเลยทีเดียว ทำให้เห็นถึงความอดทนของคนเมืองกรุงที่ต้องลำบาก และมุ่งมั่นในการทำงานขนาดไหน ซึ่งแม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าสภาพจะงดงาม สภาพที่แออัด แข่งขัน และต้องรับกับความวุ่นวายยังต้องเผชิญหน้าอยู่เสมอ



ร้านอาหารริมทางที่ตรึงใจ
ร้านอาหารข้างทางที่ยังรู้สึกติดใจไม่หาย(ไม่ใช่แม่ค้าสวยนะ) รสชาดใช้ได้ หากได้มาอีกก็จะแวะอีกราคาไม่แพงด้วย ดูแล้วเสมือนเป็นสวรรค์ของผมเลยทีเดียว เพราะช่วงเวลาที่พักอยู่ในโรงแรม รู้สึกเบื่ออาหารมากมาย เข้าวันที่ 2 ก็รู้สึกว่าเมื่อวานยังไม่ย่อยเลย ดีที่ได้ร้านโจ๊ก และก๋วยเตี๋ยว ช่วยชีวิต เติมสีสันและแรงในการเข้าอบรมต่อ ประทับใจแม่ค้าโจ๊ก ไม่กล้าถ่ายรูป แต่ที่ประทับใจคือท่าทางขึงขังตอนคนโจ๊กหม้อใหญ่ ท่าทางเธอเอาจริงมาก เลยอยากรู้เวลาเปิดปิด เราเลยถามว่า
" แม่ค้ากลับกี่โมง" แกก็บอกว่า
" กลับเที่ยง " เราก็ว่าขายถึงเที่ยงเลยเองเหรอ
" กลับเที่ยงแต่แม่ของแม่ค้ามาต่อบ่าย ขายถึงเย็น " ฮั่นแน่ - -+ มุขใช่ไหมนิ

แต่รู้สึกการตอบแบบซื่อๆก็เลยรู้สึกอีกอย่างหนึ่งว่าคนดอนเมือง ก็น่ารักดีนะ ไม่หวือหว๋าอย่างที่เราคิดเลย ในตอรอกนี้เปลกๆ นอกจากจะมีอาหาร มีร้าน ยังมีวินมอไซวิ่งไปวนมามากมาย ก็ได้บรรยากาศอย่างหนึ่ง อร่อยด้วยจะบอกให้

เมืองใหญ่ แข่งขัน อดทน
ในเมืองใหญ่ การเดินทางขวักไขว่ ต้องรีบ ต้องแย่ง ต้องแข่งขัน เห็นแล้ว นับถือจริง ๆ เพราะนอกจากจะต้องฝ่าฟันปัญหาของงานที่ต้องเผชิญแล้ว ยังต้องทนกับแรงเสียทาน และชีวิตที่ไม่น่าอยู่นัก ลำพัง "คนลำพูน"อย่างผมจะทำงานเชียงใหม่ ยังรู้สึกอึดอัด เคยไปทำงานในเมืองลำพูน(เมืองเล็กๆ) พักหนึ่งก็ยังรู้สึกอีดๆเลย นับประสาอะไรหากได้ทำงานกรุงเทพ(ท่าจะไม่รอด)
แต่ก็เป็นอีกแรกผลักดันหนึ่ง เหมือนหนึ่งความท้าทายที่อยากเผชิญสักครั้ง แต่คงต้องให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ เมื่อเรามีทุนที่มากขึ้นกว่านี้ ชีวิตในเมืองใหญ่ก็เป็นสิ่งที่อยากไปหาประสบการณ์สักครั้ง

โลกของการแข่งขัน เมืองใหญ่ที่มีคนเล็กคนน้อยมากมาย ที่จะต้องดิ้นรน เป็นสภาพที่ผมพยายามเก็บเกี่ยว เรียนรู้ และสัมผัสในทุกก้าวที่เดินไป คราวหน้าหากได้ย่ำเท้าก้าวไปที่ไหนจะเก็บเกี่ยวและนำมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ
6 กรกฎาคม 2557
หน้าร้านบ้านไร่ก๊อพปี้ปริ้นส์ : ผักหวานบ้านไร่
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ก็ยังดี
#ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...
-
เสมือนโซ่ข้อกลางที่คล้องระหว่าง กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมแห่งรัฐ ที่อดีตถูกผูกโยงกับคนไม่กี่กลุ่ม จนปัจจุบันขยายวงกว้างสู่ประชาชนมากขึ้น เพียง...
-
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียง...
-
ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่...























