นนส. นักสานพลัง (นักพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม)
ห้องน้องใหม่ เพื่อเป็นพื้นที่พูดคุย กับเครือข่าย มวลมิตรนักพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพปีนี้ไม่ได้เข้าร่วม ไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์เท่าใดนัก เพราะถูกวางตัวไว้ให้เป็นนักพัฒนาในปีหน้า ปีนี้ยังไม่ต้องพัฒนา 555 แต่ก็เหมือนใจมันเคลื่อน ตัวจึงเคลื่อน การพัฒนานโยบายสาธารณะต้องเคลื่อนไหวทั้งเป็นรูปแบบ และไม่เป็นรูปแบบ เป็นทางการไม่เป็นทางการ ตามธรรมชาติและฝืนธรรมชาติ ซึ่งเสมือนถูกจริตตรงใจในการทำงานการพัฒนาของเรา เพราะหากจะให้เราเองไปเคลื่อนไหวเฮๆ ๆ ๆๆ ๆ ก็ไม่คุ้นชิน จะเป็นนักวิชาการจ๋า ก็คงทำไม่ได้ นี่แหละกึ่งสำเร็จรูป บินได้ ว่ายน้ำเป็น ดำน้ำนิดหน่อย เดินก็ได้ 555 อันนี้แหละใช่เลย
ข้อดีของห้องสานพลัง หรือห้องนักสานพลังคือพื้นที่แลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อพัฒนานักพัฒนานโยบายสาธารณะ อย่างมีส่วนร่วม โดยผมได้เข้าร่วมกับห้องนี้เล็กน้อยในการพัฒนากลไกติดตามความก้าวหน้าของประเด็นจักรยาน ซึ่งได้พูดคุยกับคุณจิตนา TCC ตัวแทนจากชมรมจักรยานแห่งประเทศไทย ได้พูดถึงกระบวนการติดตามและความเป็นไปได้ในการเคลื่อนงานมติสมัชชาสุขภาพ โดยแต่ละจังหวัดกลับมางานที่ต้องทำอยู่แล้ว และการติดตามขาเคลื่อนก็เป็นเสมือนทิศทางหนึ่งในการพัฒนานโยบายสาธารณะอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะในห้องอื่นจะเป็นเสมือนการติดตาม อย่างเป็นทางการ แต่ห้องนี้เป็นเหมือนห้องสานพลัง ห้องสานความคิดและสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น ก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ปัญหาอย่างซึ่งของผมเอง ซึ่งหากจะเรียกว่าเป็นปัญหาโลกแตกก็คือการที่ยังไม่สามารถอยู่ ยืน หรือ ยึดเกาะสิ่งใดได้ แต่ก็ยังทระนง(จะได้อีกสักกี่น้ำน้า) ในการครองตัวให้อยู่อย่างอิสระ และสร้างความมั่นคงได้ด้วยตัวเอง แต่ในไม่ช้าเราจะต้องก้าวไปอีกระดับหนึ่ง เราไม่ได้มอบระดับภูมิภาค แต่เรามองงานระดับชาติเลย คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก แต่ ณ วันนี้มีข้อจำกัดมากมายการเงิน การงาน และการวางแผนชีวิต เสมือนว่าตอนนี้เราจะต้องวางแผนการใหญ่ ตกผลึกแล้วสำหรับความคิด แต่การทำงานในอนาคตจะต้องวางแผนงานให้ชัดเจนกว่านี้ แน่นอน และก้าวอย่างมีพลัง จอมยุทธ์กว่าจะเป็นเจ้ายุทธ์ภพก็คงต้องอดทนจนกว่าโอกาสเพียงเล็กน้อยจะเกิดขึ้น ผมเอาก็หวังเช่นกัน ฝึกพันครั้งเพื่อใช้ครั้งเดียวที่ยิ่งใหญ่ .... อด เอา อิ
สำหรับห้องนักสานพลัง ผมมีข้อสังเกตอยู่ 2 จุดคือชื่อ ผมเองชอบชื่อว่าสานพลังมากกว่า หากมีโอกาสจะเปลี่ยนชื่อเป็นห้องสานพลัง เพราะจะได้หมายถึงห้องที่นักสานพลังจะใช้เพื่อผสานพลังจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อนำไปสู่การเกิดนโยบายสาธารณะ และอีกประเด็นหนึ่งคือการจัดสภาพห้องให้เอื้อต่อการพูดคุย ผมเองอาจชอบโซฟา มุมโต๊ะเล็กๆ หรือการสร้างพื้นที่สำหรับพูดคุยและแลกเปลี่ยนอย่างสร้างสรรค์ ผมเองอยากเห็นสภาพนั้นในห้องนี้ เพราะห้องนี้น่าจะเป็นพื้นที่ในการพัฒนางานด้านนโยบาย ซึ่งเป็นลักษณะไม่เป็นทางการ การพูดคุยแบบสบายๆน่าจะได้ไอเดียมากกว่า
มุมนักสื่อสารสังคม
พี่น้องเครือข่ายวิทยุชุมชน ยังคงเหนียวแน่นต่อการยืนหยัดในมุมความคิดของการสร้างพื้นที่สื่อสารแก่ชุมชน ตามเจตนารมณ์ที่เห็นร่วมกัน แม้บางแห่งจะเป็นวิทยุธุรกิจ วิทยุชุมชน 100% วิทยุกึ่งธุรกิจ(วิทยุเพื่อสังคม) ผมคงเรียกไม่ผิดนะครับ เพราะมีหลายแบบเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องเรียนรู้คือ รูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนทำงานด้านสื่อ ผมเองไม่ใช่สื่อโดยตรง แต่พอสื่อสารได้ และเห็นความสำคัญของการใช้สื่อ เป็นเครื่องมือในการส่งต่อเจตนาของกลุ่มก้อนการทำงาน ให้ยืนหยัดและยั่งยืน
ภายใต้การทำงานของสื่อในยุคของทุนนิยม เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สื่อสารสาธารณะยืนหยัดได้ยาก เพราะการจะต้องพึ่งพาทรัพยากรต่างๆหากไม่มีเม็ดเงินเข้ามาก็ทำให้อยู่อย่างลำบากแต่คนกลุ่มเล็กๆที่ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ก็ยังทำงานไม่หยุดหย่อนว่างเมื่อไหร่มีเปิดวงคุย เปิดวงเชื่อม เร่งเจรจาเพื่อให้การเคลื่อนไหวของสื่อชุมชนเดินหน้าได้ ทั้งวิทยุชมชน สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อใหม่ต่างๆตามแต่จะมีช่องทางดำเนินการ ซึ่งจุดที่น่าสนใจและชื่นชมที่สุดคงเป็นกลุ่มสื่อชุมชน ที่ใช้จังหวะโอกาสการเจอกันแต่ละครั้งอย่างไม่สูญเปล่า มีการพูดคุย แลกเปลี่ยน สานเครือข่ายและสร้างพลังการขับเคลื่อนอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ผมเจอกลุ่มนี้ ก็มักจะเป็นการจัดมินิสมัชชา (คำนี้กำลังมา) เพื่อสอบถามความคืบหน้าของงาน ติดตามความเคลื่อนไหวของพี่น้อง(สื่อ) และเติมเต็มวิสัยทัศน์ ทางเลือกทางรอดเพื่อให้การเคลื่อนเรื่องสื่อชุมชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผมเชื่อว่า คนที่ใช้ประโยชน์จากการประชุมได้ดีที่สุดคงเป็นกลุ่มนี้ เพราะไม่ใช่เพียงมาร่วมงานเพื่อเพิ่มสีสัน แต่ยังเป็นการเสริมจุดยืน และยังย้ำทิศทาง เติมโอกาส และสร้างกระบวนการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบเกิดขึ้นอีกด้วย
ห้องเสกมติ
มาถึงกระบวนการสุดท้ายของสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าสมัชชา ผมเองชอบตั้งชื่อให้ผิดเพี้ยนไปเรื่อย แต่ผมก็คิดว่าห้องนี้เหมาะกับคำนี้จริงๆ ในกระบวนการสมัชชาจะมีองค์ประกอบที่เรียกว่า D1 และ D2 หรือขาขึ้น และขาเคลื่อน ขาขึ้นจะเป็นการเริ่มต้นด้วยเครือข่ายส่งต่อด้วยวิชาการ เติมเต็มด้วยวงการประชุม และปิดท้ายด้วยการเปิดสมัชชา เสกมติ และ เคาะๆๆๆๆๆๆ จากนั้น สช. ส่งต่อ ครม. โดยมี คมส. คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามมติ เป็นผู้เกาะติดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการสำคัญ ผมเลยอยากเรียกให้เป็นกระบวนการศักดิ์สิทธิ เสียเลย
เหตุผลสำคัญที่ต้องยกให้ดูลอย ห่างไกล และดูเกินเอื้อมเนื่องจากต้องการยกให้เห็นชัด และยกคุณค่าของการทำกิจกรรมสมัชชา กระบวนการสมัชชาเริ่มต้นขึ้นและจบลง ใช้เวลา 365 วัน(ปีหนึ่งพอดี) แต่ในหนึ่งปีนั้น การเรียนรู้ร่วมกันสำคัญที่สุดเวลาของการศึกษา ถ้อยทีถ้อยอาศัย ร่วมกันทำงานเรียนรู้ และเตรียมรับไม้ต่อ ส่งต่อเป็นสิ่งสำคัญจนท้ายที่สุดการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ตัดต่อครั้งสุดท้ายจึงบังเกิด การทำงานที่รัดกุม มีขั้นตอนส่วนตัวผมก็มองว่าเป็นสีสันที่ดี และยิ่งทำให้กระบวนการสมัชชาดูทรงคุณค่ามากขึ้น กระบวนการนี้ผมเองอาจเรียกเล่นๆว่า “เสกมติ” แน่นอนว่ามติสมัชชาสุขภาพไม่ใช่คำสั่งการ หรือดาบที่จะใช้ประหัตประหาร สิ่งใด แต่เป็นเสมือนพลังอ่อน พลังความคิด พลังปัญญา ที่จะหนุนเสริม กระตุ้น สร้างแรงกระเพื่อม เพื่อส่งต่อให้สังคมได้เคลื่อนต่อไปบนกระบวนการมีส่วนร่วมได้รับการยอมรับ จนท้ายที่สุดจะส่งผลสำเร็จในสังคมในไม่ช้า
ทุกห้องที่ได้เข้าไปเรียนรู้มีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่มากมาย แล้วแต่เราจะเลือกหยิบจับ ปรับปรุง เพื่อใช้งานแต่อย่างน้อยที่สุด การได้เดินทางไปร่วมกับกิจกรรมสมัชชาสุขภาพครั้งนี้เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความคิด ความรู้ ควรค่าแก่การนำไปใช้สานต่อในงานพื้นที่ของการพัฒนา บางทีเราก็รู้สึกโน้มเอียงว่า เราจะเลือกทำแต่งานสมัชชาสุขภาพ เป็นเครื่องมือของ สช.ไปหรือไม่ “ก็ไม่รู้ซินะ” ฉับพลันความคิด ก็แย้งสวนมาว่า กระบวนการพัฒนาทางสังคมมีอยู่อย่างหลากหลาย ไม่ว่าทางใดหากไปถึงความสำเร็จได้ ก็ควรเดินไปในทางนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นเครื่องมือของใคร หรืออะไรจะเป็นเครื่องมือของเรา แต่หากทำให้สังคมนี้ดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น สร้างบ้านสร้างเมืองให้ลูกหลานอยู่ได้อย่างสบายมากขึ้น เราพร้อมที่จะก้าวเดินไปสู่สิ่งเหล่านั้น
เพราะนี่คือภารกิจ
วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ไปก่อนนะ สมัชชาสุขภาพ (ตอนที่ 2)
จากประสบการณ์เดินทางสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่องเล่าภาคต่อเนื่อง
ห้องกัลยาณมิตร
จากห้องยืดเยื้อ ห้องเจรจาแบบไม่จบ ปรับชื่อให้มีความละมุนละม่อม ขึ้นเช่นฉันมิตร ซึ่งสุดท้ายก็มีคนใช้งานจนได้ คือห้องกัลยาณมิตร โดยปีนี้มติที่เข้าใช้งานอย่างเป็นทางการได้แก่ มติ 6.8 (น่าจะยังไม่เรียกมตินะเพราไม่ผ่าน) ทบทวนมติการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาวะและสังคมจากการค้าเสรีระหว่างประเทศ โดยที่ทราบมีหน่วยวิชาการ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานเอกชน ที่ยังติดขัดทางความเห็น ไม่สามารถให้กระบวนการสมัชชาผ่านเป็นมติที่หลายคนมักเรียกว่าเป็นเสือกระดาษได้ แต่ด้วยความเคารพในจิตวิญญาณแห่งสมัชชา ในการจัดสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 6 พ.ศ. 2556 (จัดปี 2557) จึงมีข้อเสนอต่อที่ประชุมให้มีการศึกษาเพิ่มเติม โดยจะมีทีมงานในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานต่อสมาชิก พร้อมทั้งนำเข้าสู่สมัชชาสุขภาพครั้งที่ 7 พ.ศ.2557 ในเดือนธันวาคม โดยเป็นที่พอใจของคนทุกกลุ่มและคาดหวังว่าในปีหน้า เราจะได้กลับมาติดตามความก้าวหน้าของมตินี้ที่มีสะตอรี่ต่อเนื่องถึง 2 สมัชชาเช่นกัน
ห้องติดตามมติ
ห้องนี้ผมค่อนข้างชอบมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ของการในการติดตามผลการดำเนินการ อาจเป็นเพราะสมัยที่เราเดินทางมาร่วมในสมัชชาปฏิรูปจะมัวเมากับการเกาะติดมติ การอยู่ในห้องใหญ่ ห้องย่อยเพื่อต่อสู้ได้มาในมติสมัชชาปฏิรูป เลยเกือบที่จะไม่ได้สนใจหรือเล็งเห็นห้องอื่นๆ อาจมีการเดินทางไปตามห้องต่างๆ บ้าง แต่ก็เกาะติดห้องประชุมมากกว่า ซึ่งปีนี้ผมค่อนข้างอยู่กับห้องนี้เยอะเป็นพิเศษ (จริงแล้วหากอยู่ตลอดได้จะดีมาก และหากได้โอกาสมาติดตามทุกมติได้จะดีที่สุด) ประเด็นคือด้วยความเป็นผู้ประสานจังหวัด จึงอยากเห็นผลการเคลื่อนไหวของแต่ละงานอย่างเป็นรูปธรรม และกลับไปรายงาน หรือสร้างความเข้าใจในพื้นที่ของเราเอง ไปเผยแพร่สื่อสารได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องด้วยกิจกรรมจะเน้นให้เราติดตามเฉพาะมติเดียวประเด็นเดียว เลยเหมือนกับว่าเราเองเรากังวลว่าจะอยู่ได้แค่ไหน จะนานแค่ไหน และจะอยู่ได้อย่างไรในการทำงานเพื่อติดตามมติอย่างที่สนใจและต้องการ แต่นั่นคงต้องเป็นเรื่องที่จะต้องพัฒนาช่องทางต่อไปในการติดตามมติ ซึ่งเราคิดว่าประเด็นนี้มีความสำคัญ เสมือนการติดตาม ถามไถ่ ห่วงใยในความคิดของพี่น้องที่ได้ร่วมแรงร่วมใจไม่สูญเปล่า
ความตื่นเต้นของห้องนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งสั้นๆนั่นก็คือการประท้วง หรืออาจจะเรียกว่าการแสดงพลังเพื่อให้สมัชชาสุขภาพ หรือเพื่อนสมาชิกได้รับทราบว่าขณะนี้การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (EIA / EHIA) ที่เดิมจะต้องเป็นมาตรการเพื่อดูแลสุขภาพ ของประชาชนกลับกลายเป็นเครื่องมือทำให้รัฐ/ทุน ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ จะต้องถูกจับตา ในกลุ่มของ EHIA watch โดยมีความเคลื่อนไหวเล็กเพื่อประกาศเจตนาและสานพลังในการเฝ้าติดตาม คิดๆ ไปก็คงกลายๆกับกลุ่มที่จะต้องมีการติดตาม FTA ซึ่งยืดเยื้อในการทำงาน แต่ท้ายที่สุดก็คือกระบวนการสร้างเครือข่าย สร้างความเข้าใจ และสร้างมิตรในการเคลื่อนมติโดยธรรมชาติก็เป็นได้
โปรดติดตามต่อตอนที่ 3 นะครับ
2BCon
ห้องกัลยาณมิตร
จากห้องยืดเยื้อ ห้องเจรจาแบบไม่จบ ปรับชื่อให้มีความละมุนละม่อม ขึ้นเช่นฉันมิตร ซึ่งสุดท้ายก็มีคนใช้งานจนได้ คือห้องกัลยาณมิตร โดยปีนี้มติที่เข้าใช้งานอย่างเป็นทางการได้แก่ มติ 6.8 (น่าจะยังไม่เรียกมตินะเพราไม่ผ่าน) ทบทวนมติการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาวะและสังคมจากการค้าเสรีระหว่างประเทศ โดยที่ทราบมีหน่วยวิชาการ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานเอกชน ที่ยังติดขัดทางความเห็น ไม่สามารถให้กระบวนการสมัชชาผ่านเป็นมติที่หลายคนมักเรียกว่าเป็นเสือกระดาษได้ แต่ด้วยความเคารพในจิตวิญญาณแห่งสมัชชา ในการจัดสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 6 พ.ศ. 2556 (จัดปี 2557) จึงมีข้อเสนอต่อที่ประชุมให้มีการศึกษาเพิ่มเติม โดยจะมีทีมงานในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานต่อสมาชิก พร้อมทั้งนำเข้าสู่สมัชชาสุขภาพครั้งที่ 7 พ.ศ.2557 ในเดือนธันวาคม โดยเป็นที่พอใจของคนทุกกลุ่มและคาดหวังว่าในปีหน้า เราจะได้กลับมาติดตามความก้าวหน้าของมตินี้ที่มีสะตอรี่ต่อเนื่องถึง 2 สมัชชาเช่นกัน
ห้องติดตามมติ
ห้องนี้ผมค่อนข้างชอบมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ของการในการติดตามผลการดำเนินการ อาจเป็นเพราะสมัยที่เราเดินทางมาร่วมในสมัชชาปฏิรูปจะมัวเมากับการเกาะติดมติ การอยู่ในห้องใหญ่ ห้องย่อยเพื่อต่อสู้ได้มาในมติสมัชชาปฏิรูป เลยเกือบที่จะไม่ได้สนใจหรือเล็งเห็นห้องอื่นๆ อาจมีการเดินทางไปตามห้องต่างๆ บ้าง แต่ก็เกาะติดห้องประชุมมากกว่า ซึ่งปีนี้ผมค่อนข้างอยู่กับห้องนี้เยอะเป็นพิเศษ (จริงแล้วหากอยู่ตลอดได้จะดีมาก และหากได้โอกาสมาติดตามทุกมติได้จะดีที่สุด) ประเด็นคือด้วยความเป็นผู้ประสานจังหวัด จึงอยากเห็นผลการเคลื่อนไหวของแต่ละงานอย่างเป็นรูปธรรม และกลับไปรายงาน หรือสร้างความเข้าใจในพื้นที่ของเราเอง ไปเผยแพร่สื่อสารได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องด้วยกิจกรรมจะเน้นให้เราติดตามเฉพาะมติเดียวประเด็นเดียว เลยเหมือนกับว่าเราเองเรากังวลว่าจะอยู่ได้แค่ไหน จะนานแค่ไหน และจะอยู่ได้อย่างไรในการทำงานเพื่อติดตามมติอย่างที่สนใจและต้องการ แต่นั่นคงต้องเป็นเรื่องที่จะต้องพัฒนาช่องทางต่อไปในการติดตามมติ ซึ่งเราคิดว่าประเด็นนี้มีความสำคัญ เสมือนการติดตาม ถามไถ่ ห่วงใยในความคิดของพี่น้องที่ได้ร่วมแรงร่วมใจไม่สูญเปล่า
ความตื่นเต้นของห้องนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งสั้นๆนั่นก็คือการประท้วง หรืออาจจะเรียกว่าการแสดงพลังเพื่อให้สมัชชาสุขภาพ หรือเพื่อนสมาชิกได้รับทราบว่าขณะนี้การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (EIA / EHIA) ที่เดิมจะต้องเป็นมาตรการเพื่อดูแลสุขภาพ ของประชาชนกลับกลายเป็นเครื่องมือทำให้รัฐ/ทุน ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ จะต้องถูกจับตา ในกลุ่มของ EHIA watch โดยมีความเคลื่อนไหวเล็กเพื่อประกาศเจตนาและสานพลังในการเฝ้าติดตาม คิดๆ ไปก็คงกลายๆกับกลุ่มที่จะต้องมีการติดตาม FTA ซึ่งยืดเยื้อในการทำงาน แต่ท้ายที่สุดก็คือกระบวนการสร้างเครือข่าย สร้างความเข้าใจ และสร้างมิตรในการเคลื่อนมติโดยธรรมชาติก็เป็นได้
โปรดติดตามต่อตอนที่ 3 นะครับ
2BCon
วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557
อาสาปันสุข กลุ่มจิตอาสาเพื่อเยียวยา พัฒนา แก้ไข และส่งต่อ
อาสาปันสุข เป็นกลุ่มจิตอาสาของคนตำบลอุโมงค์ ที่รวบรวมกำลังคนและผลักดันโดย นายขยัน วิพรหมชัย นายกเทศมนตรีตำบลอุโมงค์ ซึ่งเสมือนนำความรักความชอบ ในการออกเยี่ยมเยือนประชาชนของตนเอง ไม่ใช่เพื่อเป็นการหาเสียง แต่เพราะเป็นความห่วงใย ใส่ใจ และคิดถึงชาวบ้านทุกคน ในทุกโอกาส แต่เพราะคนเพียงคนเดียวเดินทางไปไม่ได้ในทุกที่ อาสาปันสุข จึงเสมือนงานที่ตอบโจทย์ในใจ จากอดีต ส่งผลสู่นวัตกรรมทางสังคมที่น่าสนใจในปัจจุบัน
วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557
พัฒนานโยบายสาธารณะ พัฒนากลไกทางสังคม
เสมือนโซ่ข้อกลางที่คล้องระหว่าง กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมแห่งรัฐ ที่อดีตถูกผูกโยงกับคนไม่กี่กลุ่ม จนปัจจุบันขยายวงกว้างสู่ประชาชนมากขึ้น เพียงแต่จะต้องอาศัยความเท่าทันในการจัดการกับการออกแบบสิ่งที่เรียกว่า "นโยบายสาธารณะ"
หากว่าจะว่าไปคงยืดยาวสำหรับการตีความคำว่านโยบายสาธารณะว่าคืออะไร แต่หากใช้อย่างสั้น ย่อง่าย คงเป็นการกระทำซึ่งส่งผลให้คนทุกคนได้ดำเนินการตามบทบัญญัติที่วางไว้ โดยทั้งรูปแบบการสร้างนโยบายอย่างมีส่วนร่วม และไร้ส่วนร่วมเชิงการออกแบบแต่มีผลภาคบังคับ
ที่ผ่านมาประชาชน ภาคประชาชนได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับการออกแบบนโยบายสาธารณะมากมายเพียงแต่อาจไม่ลึก และยังติดกับกิจกรรม(อันนี้ผมมองเอง) ซึ่งมักมองเรื่องของโครงการ เม็ดเงินเป็นหลัก ฟังดูแล้ว ก็พลันนึกถึงหลักจิตวิทยาที่ชอบใช้การสะกดจิต หรือสั่งจิต เพื่อให้พิชิตความสำเร็จ เพราะเมื่อเราตั้งใจที่จะทำอะไรแล้ว เมื่อวางปณิธาน หนทางจะปรากฎ แต่เพราะเราไม่วางปณิธานแต่คอยค่อนขอว่าจะเดินได้ ฤ ไกลหรือเปล่า ไม่มีรถไม่มีน้ำมัน ไม่มีงบประมาณ ความยิ่งใหญ่ของผลลัพภ์จึงไม่เกิดขึ้น หากแม้นนโยบายสาธาระก็เช่นกัน ทุกวันนี้หลายภาคส่วนเปิดกว้างให้เกิดการเรียนรู้ลองผิดลองถูก แต่กระนั้นพี่น้องประชาชนที่รักก็ยังส่วนน้อยที่เท่าทัน และช่วงใช้ประโยชน์จากการออกแบบนโยบายให้เกิดผล ยังคงครุ่นคิดติดเพียงวิธีการ ทำให้ความยิ่งใหญ่หรือการสร้างฝันให้เกิดไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่า สักวันหนึ่งในไม่ใช้ พี่น้องประชาชนจะตื่นตัว และกล้าที่จะฝัน กำหนดชีวิต และออกแบบสิ่งที่เรียกว่า "นโยบายสาธารณะ" ให้เกิดขึ้น เกิดโดยสาธารณะและใช้เพื่อสาธารณะ ทะลายขีดจำกัดของตนเพื่อสร้างความฝันให้เป็นจริง
13 มิถุนายน 2557
หากว่าจะว่าไปคงยืดยาวสำหรับการตีความคำว่านโยบายสาธารณะว่าคืออะไร แต่หากใช้อย่างสั้น ย่อง่าย คงเป็นการกระทำซึ่งส่งผลให้คนทุกคนได้ดำเนินการตามบทบัญญัติที่วางไว้ โดยทั้งรูปแบบการสร้างนโยบายอย่างมีส่วนร่วม และไร้ส่วนร่วมเชิงการออกแบบแต่มีผลภาคบังคับ
ที่ผ่านมาประชาชน ภาคประชาชนได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับการออกแบบนโยบายสาธารณะมากมายเพียงแต่อาจไม่ลึก และยังติดกับกิจกรรม(อันนี้ผมมองเอง) ซึ่งมักมองเรื่องของโครงการ เม็ดเงินเป็นหลัก ฟังดูแล้ว ก็พลันนึกถึงหลักจิตวิทยาที่ชอบใช้การสะกดจิต หรือสั่งจิต เพื่อให้พิชิตความสำเร็จ เพราะเมื่อเราตั้งใจที่จะทำอะไรแล้ว เมื่อวางปณิธาน หนทางจะปรากฎ แต่เพราะเราไม่วางปณิธานแต่คอยค่อนขอว่าจะเดินได้ ฤ ไกลหรือเปล่า ไม่มีรถไม่มีน้ำมัน ไม่มีงบประมาณ ความยิ่งใหญ่ของผลลัพภ์จึงไม่เกิดขึ้น หากแม้นนโยบายสาธาระก็เช่นกัน ทุกวันนี้หลายภาคส่วนเปิดกว้างให้เกิดการเรียนรู้ลองผิดลองถูก แต่กระนั้นพี่น้องประชาชนที่รักก็ยังส่วนน้อยที่เท่าทัน และช่วงใช้ประโยชน์จากการออกแบบนโยบายให้เกิดผล ยังคงครุ่นคิดติดเพียงวิธีการ ทำให้ความยิ่งใหญ่หรือการสร้างฝันให้เกิดไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อว่า สักวันหนึ่งในไม่ใช้ พี่น้องประชาชนจะตื่นตัว และกล้าที่จะฝัน กำหนดชีวิต และออกแบบสิ่งที่เรียกว่า "นโยบายสาธารณะ" ให้เกิดขึ้น เกิดโดยสาธารณะและใช้เพื่อสาธารณะ ทะลายขีดจำกัดของตนเพื่อสร้างความฝันให้เป็นจริง
13 มิถุนายน 2557
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ก็ยังดี
#ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...
-
เสมือนโซ่ข้อกลางที่คล้องระหว่าง กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมแห่งรัฐ ที่อดีตถูกผูกโยงกับคนไม่กี่กลุ่ม จนปัจจุบันขยายวงกว้างสู่ประชาชนมากขึ้น เพียง...
-
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียง...
-
ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่...




