....นึกถึงเพื่อนสาวคนหนึ่งที่เคยถามว่า ทำงานสังคมกี่งาน ผมก็ตอบว่า ทำงานเดียว "สมัชชาสุขภาพ" สาเหตุที่เรียกว่า "งาน" เพราะงานในทัศนะผมคือต้องลงมือทำทั้งระบบ อย่างต่อเนื่อง วนจนกว่าจะเสร็จเป็นชิ้นงาน นำกลับวิเคราะห์พัฒนาต่อไป สิ่งเหล่านี้ผมจึงเรียกว่างาน แต่กับหลายกิจกรรมที่ทำ ผมก็ยังไม่ถือเป็นงาน เป็นเพียง "กิจกรรม"(Action) หนึ่งในสังคม ในชีวิตที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น
....เมื่อวานนี้(๓๐ กค ๕๗) ได้โอกาสเยี่ยมเยือนผู้รู้ท่านหนึ่ง คุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของงานพัฒนา งานที่อาสา ไม่ใช่งานที่อาศัย พัฒนาแนวคิดและวางแผนเพื่อจะก้าวต่อไป จนกระทั้งรู้สึกว่า นี่มันต้องใช้เวลา มันเป็นภาระ มันต้องการเงิน เงินเราก็ไม่มีจะทำได้อย่างไร "ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นอีกแล้ว" ???
....และผมก็ละเลย ไม่ตระหนักอีกครั้งว่า "นี่คืองานอาสา" ไม่ใช่งานอาศัย
....สิ่งสำคัญของการทำ"งานพัฒนา"คืองานนี้เป็นงานอาสา ไม่ใช่งานอาศัย(นึกถึงลุงสมัย อดีตที่ปรึกษานายกเทศบาลเมือง ในบรรยากาศร้านกาแฟริมทางเลย) บางครั้งเราเองก็หลง สนุก และให้เวลากับมันมากเกินไป จนเราเอาชีวิต เอาเวลาของเราไปลงทุนกับสิ่งเหล่านี้มาก ซึ่งเรามักละเลยและคาดหวังว่าจะตอบแทนกลับมาเป็นกำไร เป็นเม็ดเงิน
.....งานที่เราทำนี้จริงอยู่คือการลงทุน(ทางสังคม) งานที่ทำเพื่อศึกษาผู้คน สร้างการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ และสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้คน(Connection) เพื่อทำให้เราเป็นเราก้าวข้ามศักยภาพเดิม สร้างศัภยพาใหม่ สร้างโอกาสดีๆในชีวิต เพราะเมื่อตัวเราพัฒนา และหน้าต่างแห่งโอกาศเปิดออกเราก็พร้อมที่จะเดินทางก้าวเข้าสู่โอกาสนั้น อีกทั้งเป็นประโยชน์แก่ผู้คน แก่สังคม แก่ส่วนรวมด้วย
....ส่วน"เงิน"หนะเหรอ สิ่งเหล่านั้นจะตามมาเอง เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เงินจะรังเกียจคนที่โหยหา ค่ำครวญ รอคอย ซึ่งเงินจะไม่ใส่ใจ แต่เงินจะรู้สึกดีหากมีคน "รัก" มีคนดูแล แต่หากหลงมันมากเกินไป เงินก็วิ่งหนี่เช่นกัน(คิดๆไปก็เหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะเนี่ย 555+)
....งานที่ผมทำคืองานอาสา งานที่ลงทุนด้วยเวลาแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสัมพันธ์ มิตรภาพ ที่นอกเหนือจากงานประจำ(งานที่ผมสร้างเอง งานที่ผมเป็นเจ้าของ)จะหาได้ งานเหล่านี้ทำให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ให้เกิดขึ้น จุดสำคัญคือเราเองต้องสร้างสมดุลระหว่างงานอาสา และงานอาศัย ไม่ให้สิ่งใดเป็นภาระของสิ่งใด
....ผมเองทำธุรกิจร้านถ่ายเอกสาร เป็นร้านเล็กๆ มีงานพอสมควรเรียกว่าอยู่ได้ไม่เหงาแต่อาจเพราะเรากำหนดว่า เราทำเป็นเชิงสำนักงาน(Office) หรือเป็น Home office เลยทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้ใช้บริการร้านตัวเองมากกว่า ดีกว่าจะทำให้เงินไหลออก หลายครั้งที่ผมเองสับสนเรื่องงานอาสา และหลงคิดว่า สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นงานที่เลี้ยงตัวตน แต่ทว่าหลักคิดนี้ถือว่า ออกทะเลไปไกลว่าความคิดตั้งต้นมากอยู่มาก หลายครั้งต้องดึงตัวตนกลับมา(ทบทวนตนเอง)
...."การไร้ตัวตน" คือแนวคิดของผู้รู้ท่านหนึ่งที่ผมได้สนทนาด้วย คือการทำเช่นนี้ทำให้เราไม่ผูกติด ไม่ต้องจมลึก ไม่ต้องผูกติดกับงานอาสา งานพัฒนา มากเกินไป งานพัฒนาต้องอาศัยการร่วมมือของคนทุกคน การเขย่าในทางนโยบาย การประสานผ่านแผน การลงมือปฏิบัติ แต่หากยังติดยึดกว่า เรื่องนี้เราทำ งานนี้เราปั้น เราก็จะเป็นผู้ปฏิบัติและต้องรับภาระมากมายที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายทุนทางเวลา ทุนทางทรัพยากร ที่เราทุ่มลงไป เราไม่ได้อะไรกลับคืนมา แม้ความสัมพันธ์ หรือมิตรภาพ วันหนึ่งเราก็เกิดท้อ แต่หากเราเลือกกำหนดตัวตน สร้างผลให้เกิด โดยอาศัยหลักคิดนี้ได้งาน ได้พัฒนา และได้เวลากลับคืนไม่ต้องจมลึกกับปัญหา ผมมองว่าหลักคิดนี้ทำให้เราอยู่ได้ทั้งงานอาสา และงานอาศัย งานประจำและงานพัฒนา
....หลายครั้งที่ผมหลงคิดว่าจะต้องทำ และคิดว่างานอาสา คืองานประจำ แต่ถึงต้อนนี้ต้องดึงตัวเองกลับมา อยู่กับปัจจุบัน กำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัด และกำหนดเป้าหมายของชีวิตให้ชัด เป้าหมายการเงิน เป้าหมายตำแหน่ง เป้าหมายประโยชน์ และเป้าหมายผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้คงจะสำเร็จ ชัดเจน และมีพลังหล่อเลี้ยงตัวเรา ใจเราได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุดในไม่ช้า
หน้าร้านบ้านไร่ก๊อพปี้ปริ้นส์
31 กค 57









