วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เกือบจะไร้สติ ไปแล้วซินะ : ทบทวนตัวตนกับงานอาสา


....นึกถึงเพื่อนสาวคนหนึ่งที่เคยถามว่า ทำงานสังคมกี่งาน ผมก็ตอบว่า ทำงานเดียว "สมัชชาสุขภาพ" สาเหตุที่เรียกว่า "งาน" เพราะงานในทัศนะผมคือต้องลงมือทำทั้งระบบ อย่างต่อเนื่อง วนจนกว่าจะเสร็จเป็นชิ้นงาน  นำกลับวิเคราะห์พัฒนาต่อไป สิ่งเหล่านี้ผมจึงเรียกว่างาน แต่กับหลายกิจกรรมที่ทำ ผมก็ยังไม่ถือเป็นงาน เป็นเพียง "กิจกรรม"(Action) หนึ่งในสังคม ในชีวิตที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น 


....เมื่อวานนี้(๓๐ กค ๕๗) ได้โอกาสเยี่ยมเยือนผู้รู้ท่านหนึ่ง คุยกันหลายเรื่อง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของงานพัฒนา งานที่อาสา ไม่ใช่งานที่อาศัย พัฒนาแนวคิดและวางแผนเพื่อจะก้าวต่อไป จนกระทั้งรู้สึกว่า นี่มันต้องใช้เวลา มันเป็นภาระ มันต้องการเงิน เงินเราก็ไม่มีจะทำได้อย่างไร  "ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นอีกแล้ว" ???

....และผมก็ละเลย ไม่ตระหนักอีกครั้งว่า "นี่คืองานอาสา" ไม่ใช่งานอาศัย 


....สิ่งสำคัญของการทำ"งานพัฒนา"คืองานนี้เป็นงานอาสา ไม่ใช่งานอาศัย(นึกถึงลุงสมัย อดีตที่ปรึกษานายกเทศบาลเมือง ในบรรยากาศร้านกาแฟริมทางเลย) บางครั้งเราเองก็หลง สนุก และให้เวลากับมันมากเกินไป  จนเราเอาชีวิต เอาเวลาของเราไปลงทุนกับสิ่งเหล่านี้มาก ซึ่งเรามักละเลยและคาดหวังว่าจะตอบแทนกลับมาเป็นกำไร เป็นเม็ดเงิน  

.....งานที่เราทำนี้จริงอยู่คือการลงทุน(ทางสังคม) งานที่ทำเพื่อศึกษาผู้คน สร้างการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ และสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้คน(Connection) เพื่อทำให้เราเป็นเราก้าวข้ามศักยภาพเดิม สร้างศัภยพาใหม่ สร้างโอกาสดีๆในชีวิต เพราะเมื่อตัวเราพัฒนา และหน้าต่างแห่งโอกาศเปิดออกเราก็พร้อมที่จะเดินทางก้าวเข้าสู่โอกาสนั้น  อีกทั้งเป็นประโยชน์แก่ผู้คน แก่สังคม แก่ส่วนรวมด้วย 

....ส่วน"เงิน"หนะเหรอ สิ่งเหล่านั้นจะตามมาเอง เป็นเรื่องน่าประหลาดที่เงินจะรังเกียจคนที่โหยหา ค่ำครวญ รอคอย ซึ่งเงินจะไม่ใส่ใจ แต่เงินจะรู้สึกดีหากมีคน "รัก" มีคนดูแล แต่หากหลงมันมากเกินไป เงินก็วิ่งหนี่เช่นกัน(คิดๆไปก็เหมือนผู้หญิงเหมือนกันนะเนี่ย 555+)

....งานที่ผมทำคืองานอาสา งานที่ลงทุนด้วยเวลาแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความสัมพันธ์   มิตรภาพ ที่นอกเหนือจากงานประจำ(งานที่ผมสร้างเอง งานที่ผมเป็นเจ้าของ)จะหาได้  งานเหล่านี้ทำให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ให้เกิดขึ้น จุดสำคัญคือเราเองต้องสร้างสมดุลระหว่างงานอาสา และงานอาศัย ไม่ให้สิ่งใดเป็นภาระของสิ่งใด

....ผมเองทำธุรกิจร้านถ่ายเอกสาร เป็นร้านเล็กๆ มีงานพอสมควรเรียกว่าอยู่ได้ไม่เหงาแต่อาจเพราะเรากำหนดว่า เราทำเป็นเชิงสำนักงาน(Office) หรือเป็น Home office เลยทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้ใช้บริการร้านตัวเองมากกว่า ดีกว่าจะทำให้เงินไหลออก  หลายครั้งที่ผมเองสับสนเรื่องงานอาสา และหลงคิดว่า สิ่งเหล่านี้ต้องเป็นงานที่เลี้ยงตัวตน แต่ทว่าหลักคิดนี้ถือว่า ออกทะเลไปไกลว่าความคิดตั้งต้นมากอยู่มาก หลายครั้งต้องดึงตัวตนกลับมา(ทบทวนตนเอง)

...."การไร้ตัวตน" คือแนวคิดของผู้รู้ท่านหนึ่งที่ผมได้สนทนาด้วย คือการทำเช่นนี้ทำให้เราไม่ผูกติด ไม่ต้องจมลึก ไม่ต้องผูกติดกับงานอาสา งานพัฒนา มากเกินไป งานพัฒนาต้องอาศัยการร่วมมือของคนทุกคน การเขย่าในทางนโยบาย การประสานผ่านแผน การลงมือปฏิบัติ แต่หากยังติดยึดกว่า เรื่องนี้เราทำ งานนี้เราปั้น เราก็จะเป็นผู้ปฏิบัติและต้องรับภาระมากมายที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายทุนทางเวลา ทุนทางทรัพยากร ที่เราทุ่มลงไป เราไม่ได้อะไรกลับคืนมา แม้ความสัมพันธ์ หรือมิตรภาพ วันหนึ่งเราก็เกิดท้อ แต่หากเราเลือกกำหนดตัวตน สร้างผลให้เกิด โดยอาศัยหลักคิดนี้ได้งาน ได้พัฒนา และได้เวลากลับคืนไม่ต้องจมลึกกับปัญหา ผมมองว่าหลักคิดนี้ทำให้เราอยู่ได้ทั้งงานอาสา และงานอาศัย งานประจำและงานพัฒนา

....หลายครั้งที่ผมหลงคิดว่าจะต้องทำ และคิดว่างานอาสา คืองานประจำ แต่ถึงต้อนนี้ต้องดึงตัวเองกลับมา อยู่กับปัจจุบัน กำหนดทิศทางของตัวเองให้ชัด และกำหนดเป้าหมายของชีวิตให้ชัด เป้าหมายการเงิน เป้าหมายตำแหน่ง เป้าหมายประโยชน์ และเป้าหมายผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้คงจะสำเร็จ ชัดเจน และมีพลังหล่อเลี้ยงตัวเรา ใจเราได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุดในไม่ช้า

หน้าร้านบ้านไร่ก๊อพปี้ปริ้นส์
31 กค 57 


วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บ่าหินเกิดกับต้า (ก้อนหินกับท่าน้ำ) วิเคราะห์เพื่อก้าวต่อไป

....หากจะว่าไปผมเองคงเป็นผลผลิตจากคำว่า "สำนึกรักบ้านเกิด" ก่อนหน้านี้ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า คนเราต้องเกิดและเติบโตในถิ่นฐานของตนเอง สร้างประโยชน์ สร้างความสุขให้เกิดขึ้น 

 

....จนกระทั่ววันนี้ผมมองว่า ผมเองอาจคิดผิดไป

....สิ่งกระตุ้นสำคัญคือคำพูดแบบภาคเหนือ "บ่อหินเกิดกับต้า" หรือ หินที่เกิดแต่ท่าน้ำ คือคนที่เกิดจากถิ่นฐานที่นั่นจริงๆ ผมเองพยายามสร้างตัวตน และพัฒนาให้เป็นหินที่มีค่า เป็นหินที่มีประโยชน์ และพยายามที่จะสร้างชีวิตที่ดี เพื่อเป็นผู้รับใช้สังคมที่ดี เพียงแต่ว่า ทฤษฎีนี้อาจผิด 

....หลายครั้งที่รู้สึกว่าแนวคิดนี้ใช้ไม่ได้ผล คนที่ได้รับการยอมรับ คนที่ได้รับการยกย่อง เชื่อถือ เชื่อมั่น มักจะเป็นคนที่อยู่นอกองค์กร อยู่นอกพื้นที่ นอกหมู่บ้าน หรือนอกท่า ที่เกิดขึ้น 

....ผมเเลยกลับมาคิดว่านี่เองอาจเป็นกุศโลบายที่แยบคายของคนโบราณที่สอนคน เพราะ "หิน"อย่างไรก็คงเป็นหิน หากไม่ร่อน ไม่เจีย ไม่ขัด ให้เกิดเป็นเพชรหรือกลายเป็นเพชร  ก็ต้องผ่านกระบวนการหล่อหลอม เปลี่ยนแปลงธาตุ จากดิน สู่หิน จากหิน สู่เพชร มันต้องอาศัยกระบวนการ เวลา และปัจจัยอื่น ที่จะพัฒนาตนเอง ก่อนจึงจะมีค่า มีคุณค่า แต่เมื่อหินอยู่ในถิ่นเกิด หินก็ยังคงเป็นหิน ไม่แตกต่างจากเดิมหรือสภาพเดิมที่มันเป็น

....จึงคิดถึงหลักของธรรมชาติที่ว่า ทุกสิ่งต้องหมุนวน ไหวเวียน จึงจะทำให้เกิดสิ่งใหม่ สิ่งดีงาม "น้ำ"เมื่ออยู่ในเดิมก็กลายเป็นน้ำเน่า  "อากาศ"เมื่อไม่ไหววนก็เป็นอากาศเสีย  "ดิน"เคลื่อนที่ไม่เติมแร่ก็ใช้การไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนต้องไหวเวียน หมุนวน "คน"เองก็เช่นกัน 

....นี่เองผมจึงพลันคิดได้ว่า ผมเองแม้จะมีสำนึกรักบ้านเกิด แต่สำนึกรักบ้านเกิดนั่นก็หาใช่ว่าจะต้องอยู่ ต้องแบก ไม่ต้องพัฒนาให้อยู่ในสภาวะใหม่ หรือไปเพิ่มเติม ไปสร้างประโยชน์แก่พื้นที่อื่นนั้นก็ไม่ใช่ คนเราต้องก้าวหน้า ต้องพัฒนา และก้าวข้ามศักยภาพเดิมอยู่เสมอ 

....สังคมเราเป็นสังคมที่ต้องไหววน คนก็ต้องหมุนเวียน ไปสร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับ บ่มเพาะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม แต่นอกพื้นที่ต่างพื้นที่ สร้างประโยชน์ สร้างการยอมรับจากถิ่นอื่น สร้างความเจริญให้แก่ต่างถิ่น เพราะนี่คือหลักธรรมชาติ หลักการที่ต้องไหวเวียน ถ่ายเท แต่ก็ไม่ละเลยละทิ้งบ้านเกิดของตนเอง นี่จึงอาจเป็นนิยามของคำว่า "สำนึกรักบ้านเกิด" รักที่ไม่ใช่หลงไม่ใช่มัวเมาอยู่แต่ในแหล่งเดิม ถิ่นเดิม ท่าน้ำเดิม และโหยหาที่จะเป็นสิ่งใหม่  แต่เป็นรักที่มีระยะห่าง ไม่ใกล้ ไม่ไกล และยังคงดูแลใส่ใจบ้านเกิดเมืองนอนเสมอ 

....หินเกิดกับท่า ก็ใช่ว่าจะต้องอยู่ให้เป็นหินเสมอไป  ย่อมต้องพัฒนาตน  ปรับเปลี่ยนศักยภาพ  แปรธาตุให้เต็มเปี่ยม ถึงพร้อมเสียก่อน แล้วจึงจะกลับมาเป็นหิน แม้จะไม่ใช่เพชรในสายตาของหินในแห่งน้ำ ท่าน้ำเดิมที่ตนอยู่เกิดมา  กลับมองเป็นหินก้อนหนึ่งเช่นเดิม  แต่ก็จะเป็นหินที่มีคุณค่า และผ่านประโยชน์ตามที่พึงจะเป็นแล้วอย่างที่สุด

....ท้ายที่สุดแล้วผมเสมือนค้นพบว่าเราจะต้องเดินออกไปยังโลกภายนอก  สร้างคุณค่าในตน สร้างประโยชน์ให้โลก โดยไม่ละเลย ไม่ลืมโลกภายใน หรือบ้านเกิดของตนเอง 

หินและท่าน้ำ
ออส หละปูน

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าเดินดอนเมือง : คราวเข้าโปรแกรม สสน.57

 


     ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่อนเก่าแล้ว ยังเป็นโอกาศได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบชุมชน

 

ท่องกรุง ย่ำดิน รับกลิ่นเมือง 
     นิสัยการเดินกรุง เดินเมือง หรือท่องชนบท เป็นสิ่งที่ติดอยู่เสียแล้ว ตังแต่ครั้นเป็นนักเรียนจากเทศบาล การได้ไปศึกษาดูงาน มักมีโอกาสสัมผัสบรรยากาศของเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นการเรียนรู้มนเสน่ห์ที่มักพาตัวเราให้ค้นพบชีวิตที่สนุกหลายอย่าง คราวนี้ก็เช่นกัน เรื่องราวมันเริ่มหลังคืนที่ เยอรมันเข้ารองรอง คืนนั้นหนักไปหน่อย(อะนะ) เลยออกมาเดินทาอะไรกิน แบบว่าร้อนๆ ชื่นใจ เลยได้สัมผัสกลิ่นอายของเมืองดอน (ดอนเมือง) เป็นเช้าแรก




สถานีขนส่งขนไปดาวอังคาร   
     ยอมรับว่าตอนแรกแปลกใจมากเพราะใน "เช็คอิน" ของมือถือมีตำแหน่งนี้ เห็นก็รู้สึกฮาดี แต่ลึกๆก็ชักแม่แน่ใจว่า เป็นสถานีอะไร "เครื่องบิน รถโดยสาร หรือรถไฟ" แต่ดูๆแล้ว มันเป็นภาพสะท้อนความยากลำบากของคนพื้นที่ คนดอนเมือง คนเมืองกรุงเลยทีเดียว ทำให้เห็นถึงความอดทนของคนเมืองกรุงที่ต้องลำบาก และมุ่งมั่นในการทำงานขนาดไหน  ซึ่งแม้จะอยู่ในเมืองใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าสภาพจะงดงาม สภาพที่แออัด แข่งขัน และต้องรับกับความวุ่นวายยังต้องเผชิญหน้าอยู่เสมอ






 

 

ร้านอาหารริมทางที่ตรึงใจ
     ร้านอาหารข้างทางที่ยังรู้สึกติดใจไม่หาย(ไม่ใช่แม่ค้าสวยนะ) รสชาดใช้ได้ หากได้มาอีกก็จะแวะอีกราคาไม่แพงด้วย ดูแล้วเสมือนเป็นสวรรค์ของผมเลยทีเดียว เพราะช่วงเวลาที่พักอยู่ในโรงแรม รู้สึกเบื่ออาหารมากมาย เข้าวันที่ 2 ก็รู้สึกว่าเมื่อวานยังไม่ย่อยเลย ดีที่ได้ร้านโจ๊ก และก๋วยเตี๋ยว ช่วยชีวิต เติมสีสันและแรงในการเข้าอบรมต่อ ประทับใจแม่ค้าโจ๊ก ไม่กล้าถ่ายรูป แต่ที่ประทับใจคือท่าทางขึงขังตอนคนโจ๊กหม้อใหญ่ ท่าทางเธอเอาจริงมาก เลยอยากรู้เวลาเปิดปิด เราเลยถามว่า 
             " แม่ค้ากลับกี่โมง"  แกก็บอกว่า 
             " กลับเที่ยง " เราก็ว่าขายถึงเที่ยงเลยเองเหรอ 
             " กลับเที่ยงแต่แม่ของแม่ค้ามาต่อบ่าย ขายถึงเย็น " ฮั่นแน่ - -+ มุขใช่ไหมนิ 

 

    แต่รู้สึกการตอบแบบซื่อๆก็เลยรู้สึกอีกอย่างหนึ่งว่าคนดอนเมือง ก็น่ารักดีนะ ไม่หวือหว๋าอย่างที่เราคิดเลย ในตอรอกนี้เปลกๆ นอกจากจะมีอาหาร มีร้าน ยังมีวินมอไซวิ่งไปวนมามากมาย ก็ได้บรรยากาศอย่างหนึ่ง อร่อยด้วยจะบอกให้




เมืองใหญ่ แข่งขัน อดทน
     ในเมืองใหญ่ การเดินทางขวักไขว่ ต้องรีบ ต้องแย่ง ต้องแข่งขัน เห็นแล้ว นับถือจริง ๆ เพราะนอกจากจะต้องฝ่าฟันปัญหาของงานที่ต้องเผชิญแล้ว ยังต้องทนกับแรงเสียทาน และชีวิตที่ไม่น่าอยู่นัก ลำพัง "คนลำพูน"อย่างผมจะทำงานเชียงใหม่ ยังรู้สึกอึดอัด เคยไปทำงานในเมืองลำพูน(เมืองเล็กๆ) พักหนึ่งก็ยังรู้สึกอีดๆเลย นับประสาอะไรหากได้ทำงานกรุงเทพ(ท่าจะไม่รอด) 
      แต่ก็เป็นอีกแรกผลักดันหนึ่ง เหมือนหนึ่งความท้าทายที่อยากเผชิญสักครั้ง แต่คงต้องให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ เมื่อเรามีทุนที่มากขึ้นกว่านี้ ชีวิตในเมืองใหญ่ก็เป็นสิ่งที่อยากไปหาประสบการณ์สักครั้ง



     โลกของการแข่งขัน เมืองใหญ่ที่มีคนเล็กคนน้อยมากมาย ที่จะต้องดิ้นรน เป็นสภาพที่ผมพยายามเก็บเกี่ยว เรียนรู้ และสัมผัสในทุกก้าวที่เดินไป คราวหน้าหากได้ย่ำเท้าก้าวไปที่ไหนจะเก็บเกี่ยวและนำมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ

6 กรกฎาคม 2557
หน้าร้านบ้านไร่ก๊อพปี้ปริ้นส์ : ผักหวานบ้านไร่ 

ก็ยังดี

 #ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี  ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...