อีกเดือนแล้วซะนิ สิงหาคม วันนี้ครับ(31 สิงหา 57) เป็นช่วงที่ยุ่งยากช่วงหนึ่งของชีวิต เวลาทำงานกระชั้น เวลาเรียนก็เร่ง จิตใจก็สับสัน อยากวิเคราะห์ตัวเอง จัดการเวลาให้ได้ หลายเรื่องซับซ้อน เรียงลำดับแทบไม่ทันเหมือนกัน จนตัวเรารู้สึกว่าอะไรเนี่ย
อาจเป็นเพราะช่วงหนึ่งที่เข้าอบรมครับ เรื่องโปรแกรม นนส.(นักสานพลังเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม) โดยส่วนใหญ่เป็นพี่ๆที่ทำงานกับสาธารณสุข เป็นกลุ่ม ขรก เราก็เป็นภาคประชาสังคมตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ได้โอกาสเรียนรู้ ได้เจอคนกว้าง โลกกว้าง ใจจึงเปิดกว้าง
แต่ยิ่งกว้างก็ประดุจยิ่งสับสนเหมือนกันว่าจะไปต่ออย่างไร บางทีเหมือนคนมีปัญญาแต่ปัญญาก็มากเกินไปจัดการกับความคิดไม่ค่อยทัน จัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ไม่เกิดประโยชน์ (การเขียน/พิมพ์) ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช่วงนี้ครับ จึงเสมือนช่วงมวลวิกฤติที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ ทั้งงาน เงิน กาเรียน และจังหวะก้าวต่อไปในอนาคต โชคดีที่เหมือนสภาพแวดล้อมอำนวยให้ทุกอย่างกำลังรับทราบเจตนาของเรา และสร้างทางที่ใช้ให้แก่เรา แต่เราเองยังต้องการข้อมูล หรือต้องจัดระบบความคิดอีกซักระยะเพื่อเปลี่ยนผ่านพัฒนาการไปสู่สิ่งใหม่
เพื่อนๆจงอย่าแปลกใจในความสับสนแห่งข้อความที่ท่านได้อ่านไป เพราะผมเองก็กำลังสับสนอยู่(สับสนเอาตอนแก่ ^^ ) แต่กระนั้นผมก็เชื่อมั่นว่าขณะนี้ชีวิตผมกำลังก้าวเข้าสู่มวลวิกฤติที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากสภาวะปัญหา คงอีกสักระยะเท่านั้นแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
เดือนนี้จึงผ่านไปอีกเดือนหนึ่งเข้าใกล้วันเกิดของผมอีกปีหนึ่งและใกล้เป้าหมายที่วางไว้ด้วย.......ราตรีสวัสดิ์
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557
จุดแข็งที่พบเจอ : บันทึกความคิด 26 สิงหา 57 หน้าเกท 4 ทอ.เชียงใหม่
หากเปรียบผมเป็นลูกดอก ต้องคู่กับคันศร คันธนู หน้าไม้ ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดก็ล้วนมีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างกัน ซึ่งผมเองก็มักได้อยู่คู่กับศาสตราวุธที่ดีเสมอ ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมได้รับโอกาสให้ทำงานในชุมชน เติบโตสู่เทศบาล ขยายผลสู่โรงเรียน หรือกระทั่งภาคธุรกิจ การเมือง สังคม ซึ่งแต่ละส่วนล้วนเป็นเรื่องที่เกินความคาดหวัง และผมเองก็คิดในใจทุกครั้งว่าเป็นเรื่องที่เหนือจิตนาการ
สมัยเด็กๆผมเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชน “แฮรี่พอตเตอร์” ผมเองอ่านไปใจหนึ่งก็รู้สึกถึงความกังวล(ของเราเอง) ที่กลัวว่าสิ่งที่ตัวละครคิด หรือได้เจอ จะเป็นเพียงฝัน และถูกละทิ้งให้กลับไปสู่โลกเดิมที่เขาเป็น(ในเรื่องแฮรี่คือพ่อมด ทายาทของพ่อมดผู้ปราบตัวร้าย และถูกตามหา ป้องกัน ดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนดาวเด่นที่วงการพ่อมดแม่มดติดตาม ) ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างนักเพราะหลายสิ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า “เกินฝัน”
ทุกครั้งที่ผมคิด อยากทำงาน อยากทำอะไร ก็มักได้หน้าไม้ หรือคันศร ที่ดีที่คอยให้ผมยิงได้เข้าเป้าหมายอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่คิดอยากทำ ก็มักสำเร็จ ผมเองจึงครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คำตอบหนึ่งที่เจอกในหนัง “the ides of march การเมืองกินคน” ที่ตัวเองคุยกันถึงความซื่อสัตย์ สิ่งนี้เป็นเสมือนคุณลักษณะที่ทำให้นักยุทธศาสตร์การเมือง ตัวละครเด่นตัวหนึ่งในเรื่องยังคงอยู่ในวงการ และเป็นที่ยอมรับ นับถือ มีงานอยู่เสมอ ผมเองก็เชื่อว่าผมน่าจะมีคุณสมบัตินั้น “ความซื่อสัตย์”
ด้วยเหตุผลที่ผมพยายามคิดออก ก็คงเป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้เราอยู่ในจุดนี้ได้ ผมเองไม่ได้โปรยตัวเองว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ หรือเปลี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมีและเป็นประโยชน์ต่อโลกคงเป็นเรื่องนี้ และนี่อาจเป็นจุดแข็งที่ต่อจากนี้ ผมจะต้องพัฒนา ศักยะในด้านนี้ให้แข็งแรง เป็นประโยชน์ต่อโลก เป็นมิตรต่อนาย หรือลูกน้องในอนาคต เพราะผมมีสิ่งนี้ที่เป็นจุดแข็ง และจะต้องพัฒนาต่อไปให้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
แม้ทุกวันนี้โลกจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร้ซึ่งกรอบ กติกา แต่ผมจะรักษาใจให้อยู่ภายใต้คุณธรรม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาศัยความยืดหยุ่น เรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งดีๆนี้สร้างประโยชน์ให้สูงสุด
สมัยเด็กๆผมเคยอ่านวรรณกรรมเยาวชน “แฮรี่พอตเตอร์” ผมเองอ่านไปใจหนึ่งก็รู้สึกถึงความกังวล(ของเราเอง) ที่กลัวว่าสิ่งที่ตัวละครคิด หรือได้เจอ จะเป็นเพียงฝัน และถูกละทิ้งให้กลับไปสู่โลกเดิมที่เขาเป็น(ในเรื่องแฮรี่คือพ่อมด ทายาทของพ่อมดผู้ปราบตัวร้าย และถูกตามหา ป้องกัน ดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนดาวเด่นที่วงการพ่อมดแม่มดติดตาม ) ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างนักเพราะหลายสิ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า “เกินฝัน”
ทุกครั้งที่ผมคิด อยากทำงาน อยากทำอะไร ก็มักได้หน้าไม้ หรือคันศร ที่ดีที่คอยให้ผมยิงได้เข้าเป้าหมายอยู่เสมอ ทุกเรื่องที่คิดอยากทำ ก็มักสำเร็จ ผมเองจึงครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คำตอบหนึ่งที่เจอกในหนัง “the ides of march การเมืองกินคน” ที่ตัวเองคุยกันถึงความซื่อสัตย์ สิ่งนี้เป็นเสมือนคุณลักษณะที่ทำให้นักยุทธศาสตร์การเมือง ตัวละครเด่นตัวหนึ่งในเรื่องยังคงอยู่ในวงการ และเป็นที่ยอมรับ นับถือ มีงานอยู่เสมอ ผมเองก็เชื่อว่าผมน่าจะมีคุณสมบัตินั้น “ความซื่อสัตย์”
ด้วยเหตุผลที่ผมพยายามคิดออก ก็คงเป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้เราอยู่ในจุดนี้ได้ ผมเองไม่ได้โปรยตัวเองว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์ หรือเปลี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมมีและเป็นประโยชน์ต่อโลกคงเป็นเรื่องนี้ และนี่อาจเป็นจุดแข็งที่ต่อจากนี้ ผมจะต้องพัฒนา ศักยะในด้านนี้ให้แข็งแรง เป็นประโยชน์ต่อโลก เป็นมิตรต่อนาย หรือลูกน้องในอนาคต เพราะผมมีสิ่งนี้ที่เป็นจุดแข็ง และจะต้องพัฒนาต่อไปให้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
แม้ทุกวันนี้โลกจะเปลี่ยนแปรไปอย่างไร้ซึ่งกรอบ กติกา แต่ผมจะรักษาใจให้อยู่ภายใต้คุณธรรม ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาศัยความยืดหยุ่น เรียนรู้และประยุกต์ใช้สิ่งดีๆนี้สร้างประโยชน์ให้สูงสุด
วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557
บทบาทภาคราชการ ธุรกิจ และประชาชน
จากข่าวที่เราไดเห็นเรื่อง กสทช กับ บ.แอปเปิล ที่ภาครัฐไทยได้เปิดเผยว่าจะมีโทรศัพท์ยี่ห้อดังเข้ามาขายในไทย ซึ่งนี่คือ "ความลับ" แต่รู้สึกว่าฝั่งของ กสทช. จะมองว่า นี่ไม่ใช่ความลับ ปัญหาสำคัญจึงกเกิดขึ้นว่า การที่หน่วยงานภาคเอกชน หรือภาคธุรกิจทำอะไรมันมีความสำคัญ เป็นเสมือนจุดชี้ขาด เป็นเรงกระตุ้น เป็นกลยุทธทางการตลาด ที่มักวางแผนเอาไว้แล้ว และควรดำเนินไปเช่นนั้น
การกระทำของ กสทช. ในกรณีนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรของ กสทช. เพราะเป็นการเปิดเผยข้อมูลของภาคธุรกิจ ที่เขาเองก็ปิดเป็นความลับ และในเมื่อเขาเป็นแบรนระดับโลก ทั้งโลกคนติดตาม คนไม่รู้ แต่ดันมี ภาคราชการของไทย ที่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นเสมือนเป้าชั้นดีที่ผู้แสวงหาข้อมูลทั่วโลกจะพุ่งเข้าใส่ และเห็นถึงความหย่อนประสิทธิภาพหรือวิสัยทัศน์ในการรักษาข้อมูลของภาคธุรกิจ แล้วอย่างนี้ใครเขาจะ "ไว้วางใจระบบราชการไทย" อีก
.
ที่กล่าวนี้เป็นเพียงปมหนึ่งที่เห็นอยู่ภายนอก แต่ลึกๆภายในนี่แสดงให้เห็นถึงความเข็งตัวของภาครัฐที่คิดว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทำอะไรก็ได้ แทนที่ท่าทีของหน่วยงานราชการจะเป็นมิตร หรือรู้ว่าผิดก็ควรหาวิธีการประนีประนอม กลับแข็งตัวและแสดงถึงอำนาจที่ตนเองมี ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจที่คิดว่ามีในไม่ช้าจะพบว่า ตนเองไม่เหลืออะไรเลย
.
ระบบราชการพึงเป็นที่พึงของประชาชน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และสำคัญคือ "เป็นมิตร" ที่ทุกคนอยากเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะนี่คือหน้าที่ของท่าน ในอนาคตเมื่อโลกเปิดออก ราชการจะเป็นเพียง ติ่งหนึ่งในสังคม และเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เสมือนมีเฟรนไชท์ อยู่ทั่วไป นั่นก็คงไม่ต่างอะไรกับ เซเว่น ที่ไปไหนๆก็เจอ ดาดดื่นแล้วคิดหรือว่าอำนาจที่คิดว่ามีในขณะนี้จะคุ้มกัน คุ้มภัยตนเอง หรือองค์กรได้ หากวัฒนธรรมในการบริหารองค์กรไม่ปรับตัว
.
ทุกวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ได้รับการตอบรับมากกว่าภาคราชการอื่น ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือการเป็นมิตร ลูกหลานของคนในพื้นที่ได้งานราชการใกล้บ้าน คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกที่พึงได้รับ ข้าราชการที่เข้ามา ก็ต้องมีความรักพื้นที่เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นเป็นที่รักของประชาชน หากหน่วยงานราชการอื่น หน่วยงานส่วนภูมิภาค หรือหน่วยงานส่วนกลางที่เข็งตัวเกินไป ยังไม่ปรับตัว ทั้งประสิทธิภาพ ตลอดจนท่าทีการทำงาน ดำเนินตนเองเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งอาจไม่มีที่ยืน เช่นหลายหน่วยงานที่กระแสสังคมกำลังเสนอให้ยุบ/ปรับ/ ปฏิรูป ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อำนาจของภาครัฐมีไว้เพื่อกำกับดูแล แต่จะดีกว่าไหม หากอำนาจนั้นให้เป็นมิตร เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
cr...http://men.kapook.com/view95789.html
การกระทำของ กสทช. ในกรณีนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรของ กสทช. เพราะเป็นการเปิดเผยข้อมูลของภาคธุรกิจ ที่เขาเองก็ปิดเป็นความลับ และในเมื่อเขาเป็นแบรนระดับโลก ทั้งโลกคนติดตาม คนไม่รู้ แต่ดันมี ภาคราชการของไทย ที่เปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นเสมือนเป้าชั้นดีที่ผู้แสวงหาข้อมูลทั่วโลกจะพุ่งเข้าใส่ และเห็นถึงความหย่อนประสิทธิภาพหรือวิสัยทัศน์ในการรักษาข้อมูลของภาคธุรกิจ แล้วอย่างนี้ใครเขาจะ "ไว้วางใจระบบราชการไทย" อีก
.
ที่กล่าวนี้เป็นเพียงปมหนึ่งที่เห็นอยู่ภายนอก แต่ลึกๆภายในนี่แสดงให้เห็นถึงความเข็งตัวของภาครัฐที่คิดว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทำอะไรก็ได้ แทนที่ท่าทีของหน่วยงานราชการจะเป็นมิตร หรือรู้ว่าผิดก็ควรหาวิธีการประนีประนอม กลับแข็งตัวและแสดงถึงอำนาจที่ตนเองมี ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจที่คิดว่ามีในไม่ช้าจะพบว่า ตนเองไม่เหลืออะไรเลย
.
ระบบราชการพึงเป็นที่พึงของประชาชน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และสำคัญคือ "เป็นมิตร" ที่ทุกคนอยากเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพราะนี่คือหน้าที่ของท่าน ในอนาคตเมื่อโลกเปิดออก ราชการจะเป็นเพียง ติ่งหนึ่งในสังคม และเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เสมือนมีเฟรนไชท์ อยู่ทั่วไป นั่นก็คงไม่ต่างอะไรกับ เซเว่น ที่ไปไหนๆก็เจอ ดาดดื่นแล้วคิดหรือว่าอำนาจที่คิดว่ามีในขณะนี้จะคุ้มกัน คุ้มภัยตนเอง หรือองค์กรได้ หากวัฒนธรรมในการบริหารองค์กรไม่ปรับตัว
.
ทุกวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ได้รับการตอบรับมากกว่าภาคราชการอื่น ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือการเป็นมิตร ลูกหลานของคนในพื้นที่ได้งานราชการใกล้บ้าน คอยช่วยเหลืออำนวยความสะดวกที่พึงได้รับ ข้าราชการที่เข้ามา ก็ต้องมีความรักพื้นที่เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้หน่วยงานราชการท้องถิ่นเป็นที่รักของประชาชน หากหน่วยงานราชการอื่น หน่วยงานส่วนภูมิภาค หรือหน่วยงานส่วนกลางที่เข็งตัวเกินไป ยังไม่ปรับตัว ทั้งประสิทธิภาพ ตลอดจนท่าทีการทำงาน ดำเนินตนเองเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งอาจไม่มีที่ยืน เช่นหลายหน่วยงานที่กระแสสังคมกำลังเสนอให้ยุบ/ปรับ/ ปฏิรูป ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
.
อำนาจของภาครัฐมีไว้เพื่อกำกับดูแล แต่จะดีกว่าไหม หากอำนาจนั้นให้เป็นมิตร เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
cr...http://men.kapook.com/view95789.html
วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ยามเมื่อพอฝนมา นายออสก็ออกร่าเริง
เมื่อวานนี้ครับ(5 สิงหา 57) ที่ลำพูนฝนตกเลยได้โอกาสอันเหมาะสมสำหรับการปลูกต้นไม้ที่ดองไว้นาน และเหมือนกับค้นพบ สิ่งที่ถูกค้นพบแต่เราเองที่ไมเข้าใจในกระบวนการเหล่านั้น ซึ่งทำให้ตระหนักอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้น ในช่วงที่จิตใจยังสับสนและเหมือนวุ่นวายในชีวิตของตัวเอง
ช่วงนี้ผมเองอ่านหนังสือหลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเงิน เรื่องประสิทธิภาพ การพัฒนาศักยภาพ ประเภทภวพ การcoaching, life coach, 7 habit 7อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ, ทำน้อยได้มาก, ใครขโมยเวลาฉันไป, ชาร์จไฟให้ชีวิต, คุณทำได้ทุกสิ่ง ที่คุณต้องการเสมอ, ชีวิตมั่งคั่ง ด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว บรา บรา บรา อาจเพราะผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า หากได้อ่านจึงอ่านอย่างบ้างคลั่ง
นั่นอาจจนงานหลายอย่างหยุดหมด พอออกไปนอกบ้านอยู่หน้างานคิดสารพัดเรื่องที่ต้องทำ กลับมาเปิดหน้าเฟส เอ๊อกกกกก ลืมหมด และหลงอยู่ในพะวังของ facebook ไม่ก็เรื่องการเขียนบทความออนไลน์ และออกทะเลไปด้วยการฟัง youtube การเงิน การลงทุน จนถึง The secret The power The meta secret .......... ไปกันขนาดนั้นเลย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม บางครั้งออกนอกบ้านก็เพื่อไปค้นหาวิธีคิด ไปใกล้คนสำเร็จ คนที่มีพลัง เพื่อกลับมาทำงาน ..... งานอะไรบางอย่าง ที่ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ชีวิตช่วงนี้ผมเองจึงนิยามว่า สับสนที่สุดในชีวิตช่วงที่ผ่านมา
มีคนเคยบอกผมว่าช่วงชีวิตคนเราจะมีรอบ 5 ปี รอบ 10 ปี ทุกรอบอย่างที่กล่าวไว้มักจะมีเรื่องต้องคิด ต้องตัดสินใจต้องฝ่าฝันบุกป่า ขึ้นดอย อะไรประมาณนั้นเต็มไปหมด ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่เตกต่าง งานที่ผมทำคืองานธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านถ่ายเอกสารเล็กๆ และรับจ้างทั่วไปที่เรียกหรูๆว่า Freelance
แต่นั่นก็เสมือนว่ายังไม่พอยังไม่ใช่ นอกจากนั้นก็ยังมีความสนใจ และเป็นงานอาสา นั่นคืองานสมัชชาสุขภาพ และพึ่งนึกเพิ่มได้อีกคือ "เจิง" การพัฒนาศิลปะยุทธสู่การเป็นที่รู้จัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นงานที่เป็นระบบ(system) ซึ่งงานที่ผมเรียกได้เต็มคำนั่นมันต้องมี output ชัดๆ แต่หลายงานทีชัด ก็กลับไม่มี outcome เป็น money ที่หล่อเลี้ยงตัวเอง (เอ๋ หรือว่ามี)
ทำให้รู้สึกว่าต้องเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไป ระหว่างที่สับสนกับชีวิตอยู่พักใหญ่ ฝนห่าหนึ่งจากพายุที่น่าจะชื่อ นากรี เทลงมาจิตใจที่ฟุ้งซ่านจึงแตกสลายและเฮฮาลงไปสู่หน้างานหน้าดินโคลน อย่างเมามัน เพราะดินที่เคยขุดไว้เตรียมสำหรับปลูกผักหวานบ้าน บัดนี้ท่านเทวดาแสดง status ว่าพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้ เลยรีบขุดและถอนต้นไม้ที่ชำไว้ ไปปลูกเกลี้ยงเลย
ระหว่างขุดไปทำไปก็เป็นปกติที่จะต้องเห็นต้นที่เพาะไว้ตายบ้าง หอยกินบ้าง เพราะผมเพาะเลี้ยงแบบธรรมชาติ(ปล่อยเทวดาฟ้าดินจัดการ) รดน้ำบ้าง เหมือนไม่ค่อยโอ๋ต้นผักหวานเท่าไหร่ แต่ผมก็เชื่อของผมนะ ว่าผักหวานบ้านเป็นพืชที่ไม่เรื่องมาก ผักฉลาดหากินเอง ตายยากด้วย ระหว่างที่ขุดอยู่นั้น หลายต้นตาย แต่ส่วนหนึ่งก็เจอต้นแบบที่อยู่ในรูปซ้ายมือนั่นแล ต้นผักหวานที่รากเกาะเต็ม ยึดแน่น และดึกขี้เถ้าแกลบที่เป็นวัสดุรองพื้นขึ้นมากเป็นปั้นใหญ่ เท่าลูกฟุตบอลก็ว่าได้ พลันทำให้คิดว่า "เราเองก็ไม่ต่างกัน กับต้นไม้ที่ถูกเพาะไว้" ในวัสดุที่เหมือนกันดินเท่ากัน ใส่ใจเหมือนกัน แต่ต้นเหล่านี้กลับมารากที่ดีกว่า อุดมกว่า และเอาชนะหอย หรือแมลงสัตรูพืชได้ดีกว่า
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจัดการอย่างไร หรือพวกมันมีวิธีการในการป้องกันตนเองเรียนรู้ อย่างที่ผมบอกว่าพวกนี้คือผักฉลาดจริงไหม แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคนข้อตระหนักว่า เราเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่เพาะอยู่ในกระถาง ต้องหากินเองต้องทำให้ไม่ตายให้ได้ เสมือนการสร้างปัญญา สร้างความพร้อม สร้างต้นทุน ไม่ใช่เพียงแค่ให้อยู่ได้เท่าน้น แต่ต้องงอกงามด้วย เพื่ออะไรหนะหรือ เพื่อวันที่ฝนตกไง วันที่พร้อม เมื่อประตูแห่งโอกาสเปิดออก เราจะได้พร้อมสำหรับการเติบโตในโลกกว้าง ที่ที่กว้างกว่า
แม้วันนี้ผมเองจะยังไปไม่ถึงความสำเร็จเหล่านั้นแต่ผมก็เชื่อว่ามันไม่ไกลแล้ว และแม้ว่าบางครั้งยังดีไม่พอแต่ผมก็พอเพียงโอกาสที่จะเติบโต ต้องขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ยังให้โอกาส ให้น้ำใจแก่ผมเสมอมาก แม้วันนี้ผมเองอาจเป็นผักหวานที่ยังรากไม่งอกงาม ไม่หยั่งลึก และต้นใบ อาจไม้อวบ สมบูรณ์พร้อมลงปลูก แต่เชื่อได้เถิดว่า ผมจะไม่เป็นต้นไม้ที่แคระแกรนแน่นอน ผมจะเติบโต สร้างกิ่งใบ สร้างประโยชน์ ยังความสุขแก่โลกนี้สังคมนี้ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือภาระกิจที่ทำให้ผมอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้อย่างมีเป้าหมาย และมีพลัง
ไม่อาจเรียกว่าเป็นสัจจะธรรม แต่ผมเองเหมือนค้นพบสิ่งที่เขาเคยค้นพบ ตีความหมายและนำมาปรับใช้กับชีวิต เสมือนยืนยันชัดเจนแน่ว่า ที่เราคิด ที่เราพัฒนาตน ที่เรากำลังสร้าง ฝึกฝน อย่างบ้าบิ่นมันไม่ผิดและไม่ไกลจากสิ่งที่มันจะต้องเป็นเลย จิงๆ นะ
ช่วงนี้ผมเองอ่านหนังสือหลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเงิน เรื่องประสิทธิภาพ การพัฒนาศักยภาพ ประเภทภวพ การcoaching, life coach, 7 habit 7อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ, ทำน้อยได้มาก, ใครขโมยเวลาฉันไป, ชาร์จไฟให้ชีวิต, คุณทำได้ทุกสิ่ง ที่คุณต้องการเสมอ, ชีวิตมั่งคั่ง ด้วยกระเป๋าสตางค์ใบเดียว บรา บรา บรา อาจเพราะผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า หากได้อ่านจึงอ่านอย่างบ้างคลั่ง
นั่นอาจจนงานหลายอย่างหยุดหมด พอออกไปนอกบ้านอยู่หน้างานคิดสารพัดเรื่องที่ต้องทำ กลับมาเปิดหน้าเฟส เอ๊อกกกกก ลืมหมด และหลงอยู่ในพะวังของ facebook ไม่ก็เรื่องการเขียนบทความออนไลน์ และออกทะเลไปด้วยการฟัง youtube การเงิน การลงทุน จนถึง The secret The power The meta secret .......... ไปกันขนาดนั้นเลย
ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม บางครั้งออกนอกบ้านก็เพื่อไปค้นหาวิธีคิด ไปใกล้คนสำเร็จ คนที่มีพลัง เพื่อกลับมาทำงาน ..... งานอะไรบางอย่าง ที่ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ชีวิตช่วงนี้ผมเองจึงนิยามว่า สับสนที่สุดในชีวิตช่วงที่ผ่านมา
มีคนเคยบอกผมว่าช่วงชีวิตคนเราจะมีรอบ 5 ปี รอบ 10 ปี ทุกรอบอย่างที่กล่าวไว้มักจะมีเรื่องต้องคิด ต้องตัดสินใจต้องฝ่าฝันบุกป่า ขึ้นดอย อะไรประมาณนั้นเต็มไปหมด ตอนนี้ผมเองก็รู้สึกไม่เตกต่าง งานที่ผมทำคืองานธุรกิจส่วนตัว เปิดร้านถ่ายเอกสารเล็กๆ และรับจ้างทั่วไปที่เรียกหรูๆว่า Freelance
แต่นั่นก็เสมือนว่ายังไม่พอยังไม่ใช่ นอกจากนั้นก็ยังมีความสนใจ และเป็นงานอาสา นั่นคืองานสมัชชาสุขภาพ และพึ่งนึกเพิ่มได้อีกคือ "เจิง" การพัฒนาศิลปะยุทธสู่การเป็นที่รู้จัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นงานที่เป็นระบบ(system) ซึ่งงานที่ผมเรียกได้เต็มคำนั่นมันต้องมี output ชัดๆ แต่หลายงานทีชัด ก็กลับไม่มี outcome เป็น money ที่หล่อเลี้ยงตัวเอง (เอ๋ หรือว่ามี)
ทำให้รู้สึกว่าต้องเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไป ระหว่างที่สับสนกับชีวิตอยู่พักใหญ่ ฝนห่าหนึ่งจากพายุที่น่าจะชื่อ นากรี เทลงมาจิตใจที่ฟุ้งซ่านจึงแตกสลายและเฮฮาลงไปสู่หน้างานหน้าดินโคลน อย่างเมามัน เพราะดินที่เคยขุดไว้เตรียมสำหรับปลูกผักหวานบ้าน บัดนี้ท่านเทวดาแสดง status ว่าพร้อมสำหรับการปลูกต้นไม้ เลยรีบขุดและถอนต้นไม้ที่ชำไว้ ไปปลูกเกลี้ยงเลย
ระหว่างขุดไปทำไปก็เป็นปกติที่จะต้องเห็นต้นที่เพาะไว้ตายบ้าง หอยกินบ้าง เพราะผมเพาะเลี้ยงแบบธรรมชาติ(ปล่อยเทวดาฟ้าดินจัดการ) รดน้ำบ้าง เหมือนไม่ค่อยโอ๋ต้นผักหวานเท่าไหร่ แต่ผมก็เชื่อของผมนะ ว่าผักหวานบ้านเป็นพืชที่ไม่เรื่องมาก ผักฉลาดหากินเอง ตายยากด้วย ระหว่างที่ขุดอยู่นั้น หลายต้นตาย แต่ส่วนหนึ่งก็เจอต้นแบบที่อยู่ในรูปซ้ายมือนั่นแล ต้นผักหวานที่รากเกาะเต็ม ยึดแน่น และดึกขี้เถ้าแกลบที่เป็นวัสดุรองพื้นขึ้นมากเป็นปั้นใหญ่ เท่าลูกฟุตบอลก็ว่าได้ พลันทำให้คิดว่า "เราเองก็ไม่ต่างกัน กับต้นไม้ที่ถูกเพาะไว้" ในวัสดุที่เหมือนกันดินเท่ากัน ใส่ใจเหมือนกัน แต่ต้นเหล่านี้กลับมารากที่ดีกว่า อุดมกว่า และเอาชนะหอย หรือแมลงสัตรูพืชได้ดีกว่า
ไม่รู้ว่าธรรมชาติจัดการอย่างไร หรือพวกมันมีวิธีการในการป้องกันตนเองเรียนรู้ อย่างที่ผมบอกว่าพวกนี้คือผักฉลาดจริงไหม แต่ทว่าสิ่งที่เห็นคนข้อตระหนักว่า เราเองก็ไม่ต่างจากต้นไม้ที่เพาะอยู่ในกระถาง ต้องหากินเองต้องทำให้ไม่ตายให้ได้ เสมือนการสร้างปัญญา สร้างความพร้อม สร้างต้นทุน ไม่ใช่เพียงแค่ให้อยู่ได้เท่าน้น แต่ต้องงอกงามด้วย เพื่ออะไรหนะหรือ เพื่อวันที่ฝนตกไง วันที่พร้อม เมื่อประตูแห่งโอกาสเปิดออก เราจะได้พร้อมสำหรับการเติบโตในโลกกว้าง ที่ที่กว้างกว่า
แม้วันนี้ผมเองจะยังไปไม่ถึงความสำเร็จเหล่านั้นแต่ผมก็เชื่อว่ามันไม่ไกลแล้ว และแม้ว่าบางครั้งยังดีไม่พอแต่ผมก็พอเพียงโอกาสที่จะเติบโต ต้องขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ยังให้โอกาส ให้น้ำใจแก่ผมเสมอมาก แม้วันนี้ผมเองอาจเป็นผักหวานที่ยังรากไม่งอกงาม ไม่หยั่งลึก และต้นใบ อาจไม้อวบ สมบูรณ์พร้อมลงปลูก แต่เชื่อได้เถิดว่า ผมจะไม่เป็นต้นไม้ที่แคระแกรนแน่นอน ผมจะเติบโต สร้างกิ่งใบ สร้างประโยชน์ ยังความสุขแก่โลกนี้สังคมนี้ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือภาระกิจที่ทำให้ผมอยู่ได้จวบจนทุกวันนี้อย่างมีเป้าหมาย และมีพลัง
ไม่อาจเรียกว่าเป็นสัจจะธรรม แต่ผมเองเหมือนค้นพบสิ่งที่เขาเคยค้นพบ ตีความหมายและนำมาปรับใช้กับชีวิต เสมือนยืนยันชัดเจนแน่ว่า ที่เราคิด ที่เราพัฒนาตน ที่เรากำลังสร้าง ฝึกฝน อย่างบ้าบิ่นมันไม่ผิดและไม่ไกลจากสิ่งที่มันจะต้องเป็นเลย จิงๆ นะ
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
เกษตรสร้างภาพกลับมาอีกครั้ง (ถอนกล้า)
วันนี้(3 สิงหา) การสร้างภาพอีกครั้งสำหรับกิจกรรมปลูกนาข้าว การเรียนรู้มีอยู่มากมายหลายขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้เรียนรู้ หรือไม่รู้ว่าได้เรียนอะไร ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและอยากรู้อยากเรียน ไปเสียหมด จนบางคนก็สงสัย "บ้าหรือเปล่า" ผมก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า เราหนะบ้าไหมทำไมไม่จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที เที่ยวไปเนียนกับนั่น โน้น นี่ ไปทั่ว แต่ภายใต้คำถามในจิตใจกลับพบว่า คำว่า บ้า กับคำว่า ใฝ่รู้ มันนั่งอยู่ข้างกัน
การทำการเกษตรผมเองหวังให้เป็นที่พึ่งของขีวิต เพียงแต่ว่า ผมเองก็กลับไม่ได้เชื่อสนิทใจว่า จะทำให้เลี้ยงชีวิตได้(อาจเพราะคิดอย่างงี้เกษตรจึงไม่เลี้ยงเราทั้งหมด) เพราะเกษตรกรรมคือวิถี วิถีแห่งการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้(นั่นหมายถึง เป็นงานเสริม เป็น Passive income) ผมจึงสนใจและไปเนียนเพื่อเรียนรู้ ให้รู้จริง เข้าใจจริง ทำได้จริง มีน้องๆหลายคนที่ทำเรื่องนา เป็นคนหนุ่ม-สาว ที่สนใจวิถีเกษตรผมก็เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาเสมือนเที่ยวเสาะหาหนทางที่ชอบทีใช่ จนใช้เวลาไปเพื่อการลงทุนมากมายเหลือกิน
นับจากนี้หนทางในการพัฒนางาน พัฒนากิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ชีวิตจะชัดเจนขึ้น สดใสขึ้น มีแรงมีพลังในการก้าวเดิน คืนนี้จะสรุปให้เป็นรูปร่างว่าเราจะก้าวเดินชีวิตต่อไปอย่างไร เกษตรกรรมเป็นทางออกหนึ่ง เสมือนศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประกอบติดตัวไว้ เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด ผมตั้งใจที่ปลูกนา เอาข้าว เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร มีข้าวไว้กินตลอดปี เพียงเท่านั้นผมก็จะใช้ชีวิตต่อสู้ ทำงาน รับใช้สังคมได้ดังที่ใจปรารถนาแล้ว และสนุกกับชีวิต
ผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อ ใช้ชีวิต ทำสิ่งที่ชอบ ต้องการสร้างประโยชน์ สร้างความสุขแก่ผู้คน และสร้างสิ่งดี ทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลาน ซึ่งก็ยังตอบยากว่าคืออะไร มันอธิบายได้อย่างเป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่ผมก็ยั่งเชื่อมั่น และมุ่งหน้าทำสิ่งใหญ่ และพัฒนาตนเองไปทุกวัน
วันนี้ขอบคุณป้าจั๋น อ้ายอาจ ลุงหมื่น ที่ให้กระบวนการเรียนรู้และประสบการณ์จริงใจการถอนกล้าข้าว พรุ่งนี้จะลงปลูกด้วยนะคับ อ่อ ขอบคุณพี่หน่อยด้วย ที่ถ่ายภาพไม่งั้นคงไม่มีเกษตรสร้างภาพแน่...ฮึฮึ
การทำการเกษตรผมเองหวังให้เป็นที่พึ่งของขีวิต เพียงแต่ว่า ผมเองก็กลับไม่ได้เชื่อสนิทใจว่า จะทำให้เลี้ยงชีวิตได้(อาจเพราะคิดอย่างงี้เกษตรจึงไม่เลี้ยงเราทั้งหมด) เพราะเกษตรกรรมคือวิถี วิถีแห่งการลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้(นั่นหมายถึง เป็นงานเสริม เป็น Passive income) ผมจึงสนใจและไปเนียนเพื่อเรียนรู้ ให้รู้จริง เข้าใจจริง ทำได้จริง มีน้องๆหลายคนที่ทำเรื่องนา เป็นคนหนุ่ม-สาว ที่สนใจวิถีเกษตรผมก็เช่นกัน แต่ที่ผ่านมาเสมือนเที่ยวเสาะหาหนทางที่ชอบทีใช่ จนใช้เวลาไปเพื่อการลงทุนมากมายเหลือกิน
นับจากนี้หนทางในการพัฒนางาน พัฒนากิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ชีวิตจะชัดเจนขึ้น สดใสขึ้น มีแรงมีพลังในการก้าวเดิน คืนนี้จะสรุปให้เป็นรูปร่างว่าเราจะก้าวเดินชีวิตต่อไปอย่างไร เกษตรกรรมเป็นทางออกหนึ่ง เสมือนศาสตร์และศิลป์ที่ต้องประกอบติดตัวไว้ เพื่อไม่ให้เสียชาติเกิด ผมตั้งใจที่ปลูกนา เอาข้าว เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร มีข้าวไว้กินตลอดปี เพียงเท่านั้นผมก็จะใช้ชีวิตต่อสู้ ทำงาน รับใช้สังคมได้ดังที่ใจปรารถนาแล้ว และสนุกกับชีวิต
ผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เกิดมาเพื่อ ใช้ชีวิต ทำสิ่งที่ชอบ ต้องการสร้างประโยชน์ สร้างความสุขแก่ผู้คน และสร้างสิ่งดี ทิ้งไว้ให้แก่ลูกหลาน ซึ่งก็ยังตอบยากว่าคืออะไร มันอธิบายได้อย่างเป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่ผมก็ยั่งเชื่อมั่น และมุ่งหน้าทำสิ่งใหญ่ และพัฒนาตนเองไปทุกวัน
วันนี้ขอบคุณป้าจั๋น อ้ายอาจ ลุงหมื่น ที่ให้กระบวนการเรียนรู้และประสบการณ์จริงใจการถอนกล้าข้าว พรุ่งนี้จะลงปลูกด้วยนะคับ อ่อ ขอบคุณพี่หน่อยด้วย ที่ถ่ายภาพไม่งั้นคงไม่มีเกษตรสร้างภาพแน่...ฮึฮึ
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
"ความมั่นคงทางอาหาร" คำฟังยาก
ยอมรับว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เท็จจริงแล้ว คำนี้ คืออะไร แต่ในความหมายของผม การมีอาหารให้กินทุกวัน ผมว่านี่คือความมั่นคงแล้ว จะเรียกอาหารปลอดภัย อาหารอินทรีย์ ก็สุดแล้วแต่ เพราะผมเองปลูกเอง กินเอง เหลือจึงขาย(เพราะเป็นการปลูกเพื่อบริโภค) แต่บางส่วนก็เริ่มปลูกเชิงพานิชย์แต่ก็รักษาจุดของการไม่ใส่สารเคมี ไม่ใช่จะทำเป็นอินรีย์แบบสุดโต่ง แต่เพราะผมคิดว่า หากเป็นต้นทุนที่เกินจำเป็น ก็ไม่จำเป็น ผมมีดินที่ดี มีปุ๋ยคอกที่ยอดเยี่ยม แล้วจะต้องเติมอะไรอีก เติมปุ๋ยแบบคนที่ผ่านไปผ่านมาเขาคาดเขา บางครั้งผมก็เกิดคำถามตั้งกลับไปว่า "รู้ได้ไงว่า มันต้องการ"
ทั้งสำรับนี้มีเพียงไข่ ลูกชิ้น และข้าวกล้อง(รวมเครื่องปรุงอีกนิดหน่อย)
ที่ผมต้องซื้อ ผมชื่อว่านี้เองคือความมั่นคงทางอาหาร แต่ผมกินบ่อย
ก็ชักเบื่อๆแล้วนั่นอาจแสดงถึงความไม่มั่นคง ต้องปลูกเพิ่มความหลากหลาย
เพื่อทำให้กินอย่างสบายขึ้น
เพราะหลักสำคัญของการผลิตวัตถุดิบส่วนใหญ่เองได้เท่ากับเราลดรายใจไปในตัว
และเพิ่มรายได้ซึ่งเป็นผลกระทบ หรือผลพลอยได้ (Impact) การที่มีรายจ่ายลดลง
นั่นแสดงว่าเรารักษารายได้ไว้มากขึ้น
ความมั่นคงเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างเองก่อน โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน การเที่ยวแจกความรู้โดยไม่เคยปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากจะทำให้คนเชื่อได้ ผมจึงต้องทดลองทำ เพราะสังคมเราอยากสำเร็จต้องตามคนที่สำเร็จ อยากมีประสบการณ์ต้องคุยกับคนที่มี "ประสบการณ์" ผมจึงต้องสร้างประสบการณ์ เพื่อการถ่ายทอดในอนาคต (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 สิงหาคม 2557)
ความมั่นคงเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างเองก่อน โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน การเที่ยวแจกความรู้โดยไม่เคยปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากจะทำให้คนเชื่อได้ ผมจึงต้องทดลองทำ เพราะสังคมเราอยากสำเร็จต้องตามคนที่สำเร็จ อยากมีประสบการณ์ต้องคุยกับคนที่มี "ประสบการณ์" ผมจึงต้องสร้างประสบการณ์ เพื่อการถ่ายทอดในอนาคต (นฤเทพ พรหมเทศน์ : 3 สิงหาคม 2557)
โลกเปลี่ยน เมื่อเราเปลี่ยน
....เช้านีั(1 สิงหา 57) พลันคิดถึงระหว่างเก็บผักเชียงดาในสวน เก็บผักปลังเพื่อนำไปฝากป้าต๋าขายฝาก รู้สึกสบายใจ และรู้สึกมีความมั่นคงทางอาหาร อย่างหนึ่ง หลังจากเก็บมาแล้วแม่ก็ซื้อผักปลังหน้าสวน ก็ได้นิดหน่อย เพราะแกเคยซื้อไปแล้วเอาไปทำแกงขาย
....
....
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ก็ยังดี
#ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...
-
เสมือนโซ่ข้อกลางที่คล้องระหว่าง กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมแห่งรัฐ ที่อดีตถูกผูกโยงกับคนไม่กี่กลุ่ม จนปัจจุบันขยายวงกว้างสู่ประชาชนมากขึ้น เพียง...
-
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียง...
-
ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่...




