the diary 30.1.58 ณ ห้องสมจิตร ภาติกร มช.
การเรียนรู้ไม่จบสิ้น ในมหาฯลัยชีวิตแห่งนี้ครับ ช่วงเช้าวันนี้ได้ร่วมประชุมกับพี่ๆ ทำงานเรื่องการทบทวนตัวเอง ในระดับองค์กร คนทำงานด้านสุขภาพ นโยบายสุขภาพ หรือกลไกเพื่อเกื้อก่อนการมีสุขภาพ สุขภาวะที่ดี ในระดับท้องถิ่น ปีนี้นับเป็นปีที่ 2 ครับในภาคเหนือ ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ร่วมลงพื้นที่จังหวัดภาคเหนือชวนท้องถิ่น สรุปเรื่องราวที่ทำมาและพัฒนาเพื่อก้าวต่อไป
เสมือนการ Coach องค์กร ที่จะต้องให้องค์กรได้ตกตะกอนความคิด กำหนดเป้าหมาย และเดินอย่างเต็มใจในหนทางที่ "ท่านเลือกเอง" ซึ่งไม่ใช่การทำงานแบบ top-down(สั่งการ) หรือจ้างวานผลิตอีกต่อไป
การเดินทางมาเรียนรู้ครั้งนี้เสมือนได้ชาร์ทพลังด้วยเพราะเจอน้องๆ พี่ๆ จอมยุทธ์จากภาคเหนือ นานแล้ว(เกือบ 2 เดือน) ที่ไม่ได้เจอกันแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่มีครับ
ปล.ขอบคุณภาพจาก อ.เดชา ทำดี ครับ
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558
เมื่ออยากเขียนก็เขียนไป แต่จะเขียนอย่างไรหละ.....??
มีพี่ๆหลายคนชอบแนะนำแบบกำปั้นทุบดินเมื่อผมพูดเสมอกว่า อยากเป็นนักเขียน "งั้นอยากเขียนก็เขียนเลย...." นั่นซะนะ ผมจึงเริ่มลงมือเขียน เขียนแบบอยากเขียน และเริ่มไม่อยากเขียน ไม่ใช่เพราะไม่อยากเขียน แต่เพราะกลัวว่าเขียนไปแล้วเขียนเพื่อใคร อย่างไร
คำถามที่วิ่งวนใจใจเสมอ การทำอะไรสักอย่างสักชิ้น ต้องคำนึงถืงเรื่องนี้ด้วย เสมือนหลักการตลาดที่จะต้องมองกลุ่มเป้าหมาย(customer) หรือไม่ก็ต้องดูคุณค่า(Value) ของผลิตภัณฑ์ที่เขาเองพึงจะได้รับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่น ขนาดว่า ศรัทธา ในหลักการตลาดก็ว่าได้ครับ
สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเริ่มทำงาน หลักการตลาด หลักธุรกิจมีการปรับประยุกต์กับงานในหลากหลายแขนง เครื่องมือต่างๆถูกหยิบมาใช้เพื่อสร้างศักยภาพใหม่ให้แก่งานไม่ว่าจะเป็น สังคม ศิลปะ หรือ วิสาหกิจ หากอยากให้งานที่ทำอยู่รอดต้องใช้หลักเหล่านี้เป็นองค์ประกอบเพื่อขับเคลื่อนงานต่างๆ พอกลับมามองที่ผมเอง การเขียนจึงเป็นเสมือนหนึ่งในพันธกิจที่อยากทำ แต่ต้องทำให้ดีด้วย
ในขยักหนึ่งของความคิดมือมันล๊อกที่จะพิมพ์ จะเล่า และเงียบหายจากหน้าพื้นที่ Social Network ไประยะหนึ่ง ครุ่นคิดถึงเรื่อง Marketting, Branding, SE(Social enterprise), strartup เพื่อกลับมาเขียนงานอย่างมีคุณค่า อาจเพราะประกอบกับช่วงก่อนได้อาจารย์ดีหลายท่านครับ ด้วยความโชคดี จึงได้หยุดคิด พิจารณาจังหวะก้าว เพราะหากเราจะมุ่งก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง ตะบี้ตะบันทำมันให้สำเร็จ ทิศทาง (Direction) สำคัญมากครับ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานมา เราอยู่ในสายปฏิบัติการ น้อยครั้งที่จะเข้าใจเรื่องทิศทาง อนาคต หรือจุดมุ่งหมาย ได้แต่ลงมือทำ จึงถือว่าการกระตุกความคิดนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการกลับมาเขียนคราวนี้ก็เช่นกัน
ผมเหลือบไปเจออยู่คำหนึ่งครับ If content is king, context is GOD. ของ Gary vaynerchuk พอฟังแล้วกระชากหัวใจดีแท้ เป็นการทำให้เห็นถึงกุญแจสำคัญที่จะพัฒนางานเขียนที่ผมกำลังมุ่งหน้า ลงมือผลิตงานเขียนในอนาคตอันใกล้ การเขียนอย่างมีทิศทางค่อยๆเผยให้เห็นบ้างแล้ว และการสร้าง Content ก็จะมีคุณค่ามากขึ้น
ท้ายที่สุดผมต้องขอบคุณข้อคิดจากพี่ๆที่ทำให้ผมต้องลงมือแสวงหาหนทางในการสร้างงานเขียน แบบไม่ตะบี้ตะบัน แบบรู้ว่าผลิตเพื่ออะไร เพื่อใคร จะไปอย่างไรต่อ... และหากข้อคิดใดที่ตกหล่นขอช่วยเติมในกล่องข้อความด้านล่างนี้ด้วยนะครับ
คำถามที่วิ่งวนใจใจเสมอ การทำอะไรสักอย่างสักชิ้น ต้องคำนึงถืงเรื่องนี้ด้วย เสมือนหลักการตลาดที่จะต้องมองกลุ่มเป้าหมาย(customer) หรือไม่ก็ต้องดูคุณค่า(Value) ของผลิตภัณฑ์ที่เขาเองพึงจะได้รับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่น ขนาดว่า ศรัทธา ในหลักการตลาดก็ว่าได้ครับ
สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเริ่มทำงาน หลักการตลาด หลักธุรกิจมีการปรับประยุกต์กับงานในหลากหลายแขนง เครื่องมือต่างๆถูกหยิบมาใช้เพื่อสร้างศักยภาพใหม่ให้แก่งานไม่ว่าจะเป็น สังคม ศิลปะ หรือ วิสาหกิจ หากอยากให้งานที่ทำอยู่รอดต้องใช้หลักเหล่านี้เป็นองค์ประกอบเพื่อขับเคลื่อนงานต่างๆ พอกลับมามองที่ผมเอง การเขียนจึงเป็นเสมือนหนึ่งในพันธกิจที่อยากทำ แต่ต้องทำให้ดีด้วย
ในขยักหนึ่งของความคิดมือมันล๊อกที่จะพิมพ์ จะเล่า และเงียบหายจากหน้าพื้นที่ Social Network ไประยะหนึ่ง ครุ่นคิดถึงเรื่อง Marketting, Branding, SE(Social enterprise), strartup เพื่อกลับมาเขียนงานอย่างมีคุณค่า อาจเพราะประกอบกับช่วงก่อนได้อาจารย์ดีหลายท่านครับ ด้วยความโชคดี จึงได้หยุดคิด พิจารณาจังหวะก้าว เพราะหากเราจะมุ่งก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง ตะบี้ตะบันทำมันให้สำเร็จ ทิศทาง (Direction) สำคัญมากครับ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานมา เราอยู่ในสายปฏิบัติการ น้อยครั้งที่จะเข้าใจเรื่องทิศทาง อนาคต หรือจุดมุ่งหมาย ได้แต่ลงมือทำ จึงถือว่าการกระตุกความคิดนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการกลับมาเขียนคราวนี้ก็เช่นกัน
ผมเหลือบไปเจออยู่คำหนึ่งครับ If content is king, context is GOD. ของ Gary vaynerchuk พอฟังแล้วกระชากหัวใจดีแท้ เป็นการทำให้เห็นถึงกุญแจสำคัญที่จะพัฒนางานเขียนที่ผมกำลังมุ่งหน้า ลงมือผลิตงานเขียนในอนาคตอันใกล้ การเขียนอย่างมีทิศทางค่อยๆเผยให้เห็นบ้างแล้ว และการสร้าง Content ก็จะมีคุณค่ามากขึ้น
ท้ายที่สุดผมต้องขอบคุณข้อคิดจากพี่ๆที่ทำให้ผมต้องลงมือแสวงหาหนทางในการสร้างงานเขียน แบบไม่ตะบี้ตะบัน แบบรู้ว่าผลิตเพื่ออะไร เพื่อใคร จะไปอย่างไรต่อ... และหากข้อคิดใดที่ตกหล่นขอช่วยเติมในกล่องข้อความด้านล่างนี้ด้วยนะครับ
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558
บันทึกการเดินทาง 30.13 ก้าวที่สอง สมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน
บันทึกการเดินทาง 30.13 ก้าวที่สอง สมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน
ละเมียดละไม กับการเดินทางของกระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ซึ่งได้ฤกษ์เริ่มกระบวนการพูดคุยเชิงกระบวนการในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากคณะทำงานสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ได้เริ่มกระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดกับทางสำนักปฏิบัติการพื้นที่ สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ ในปีแรกเมื่อครั้งมีคณะกรรมการจัดในปี 2556 ต้นปี และเริ่มกระบวนการเคลื่อนไหวปลายปี ส่งต่อสู่ปี 2557 ซึ่งทำให้เกิดภาพกระบวนการสมัชชาสุขภาพทั้งขบวนเมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2557 “เดินหน้า สังคมสุขภาวะ” บนวิถีวัฒนธรรม วิถีเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
.
ซึ่งหลังจากหมดกระบวนการจัดเวทีและการสรุปโครงการในปีแรก ซึ่งถือเป็นปีที่เกิดคณะทำงาน และเกิดกระบวนการสมัชชาเต็มรูปแบบ เพราะหากนับการขับโดยอาศัยสมัชชาเป็นเครื่องมือพัฒนานั้นก็คงกว่า 14 ปี โดยในปีแรกนี้คณะทำงานจากหลายส่วนต่างสรุปสอดคล้องเรื่องการประสานความร่วม มือ ซึ่งเป็นรูปธรรมมากที่สุด บนฐานเครื่องมือสมัชชาสุขภาพ กล่าวคือ สมัชชาสุขภาพจังหวัดเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับงานทีทำ เป็นข้อมูลเอกสาร เป็นชิ้นงาน เป็นนโยบาย และมีพื้นที่ให้เพื่อน ภาคี ได้โลดแล่น แสดงออก “ปั๋นต่า” หรือให้โอกาสแต่เพื่อนพ้องได้เด่น ได้ดัง ร่วมสุข สนุกด้วยกัน โดยนับเป็นพื้นที่ศักยภาพสำคัญและทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมที่น่าพัฒนา ให้เกิดขึ้นทุกปี
.
โดยหลังจากวันที่ 13 กันยายน 57 ทีมวิชาการได้สรุปเนื้อหา นำเข้าสู่พื้นที่พูดคุยลำพูนฟอรั่มในทุกเสาร์ต้นเดือน โดยล่าสุดเสาร์แรกของเดือนมกราคม 58 ได้มีการออกแบบกระบวนการสมัชชาปีต่อไป swot ปรากฏการณ์และหา Key success ในการพัฒนากระบวนการสมัชชาในครั้งนี้อย่างเข้มข้น ส่งต่อให้การหารือวงเล็กในวันที่ 13 มกราคม 58 จึงมีข้อมูลที่พลั่งพลูพร้อมทั้งจัดทีมกระบวนกรเพื่อยกร่างโครงการ โครงสร้าง ของทีมสมัชชาชุดใหม่ ในก้าวที่สองของสมัชชาสุขภาพลำพูน
.
ในวันที่ 22 มกราคม นี้จะเป็นอีกขยักหนึ่งของการเดินทางบนกระบวนการสมัชชาสุขภาพที่มีหลายภาคี ร่วมจับมือกันเดิน จะมีจังหวะก้าวอย่างไร จะมีใครร่วมเดินบ้าง ใกล้ๆได้ผลผลิตแล้วจะบอกเล่าให้ฟังอีกระยะนะครับ
ละเมียดละไม กับการเดินทางของกระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ซึ่งได้ฤกษ์เริ่มกระบวนการพูดคุยเชิงกระบวนการในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากคณะทำงานสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน ได้เริ่มกระบวนการสมัชชาสุขภาพจังหวัดกับทางสำนักปฏิบัติการพื้นที่ สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ ในปีแรกเมื่อครั้งมีคณะกรรมการจัดในปี 2556 ต้นปี และเริ่มกระบวนการเคลื่อนไหวปลายปี ส่งต่อสู่ปี 2557 ซึ่งทำให้เกิดภาพกระบวนการสมัชชาสุขภาพทั้งขบวนเมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2557 “เดินหน้า สังคมสุขภาวะ” บนวิถีวัฒนธรรม วิถีเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
.
ซึ่งหลังจากหมดกระบวนการจัดเวทีและการสรุปโครงการในปีแรก ซึ่งถือเป็นปีที่เกิดคณะทำงาน และเกิดกระบวนการสมัชชาเต็มรูปแบบ เพราะหากนับการขับโดยอาศัยสมัชชาเป็นเครื่องมือพัฒนานั้นก็คงกว่า 14 ปี โดยในปีแรกนี้คณะทำงานจากหลายส่วนต่างสรุปสอดคล้องเรื่องการประสานความร่วม มือ ซึ่งเป็นรูปธรรมมากที่สุด บนฐานเครื่องมือสมัชชาสุขภาพ กล่าวคือ สมัชชาสุขภาพจังหวัดเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับงานทีทำ เป็นข้อมูลเอกสาร เป็นชิ้นงาน เป็นนโยบาย และมีพื้นที่ให้เพื่อน ภาคี ได้โลดแล่น แสดงออก “ปั๋นต่า” หรือให้โอกาสแต่เพื่อนพ้องได้เด่น ได้ดัง ร่วมสุข สนุกด้วยกัน โดยนับเป็นพื้นที่ศักยภาพสำคัญและทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมที่น่าพัฒนา ให้เกิดขึ้นทุกปี
.
โดยหลังจากวันที่ 13 กันยายน 57 ทีมวิชาการได้สรุปเนื้อหา นำเข้าสู่พื้นที่พูดคุยลำพูนฟอรั่มในทุกเสาร์ต้นเดือน โดยล่าสุดเสาร์แรกของเดือนมกราคม 58 ได้มีการออกแบบกระบวนการสมัชชาปีต่อไป swot ปรากฏการณ์และหา Key success ในการพัฒนากระบวนการสมัชชาในครั้งนี้อย่างเข้มข้น ส่งต่อให้การหารือวงเล็กในวันที่ 13 มกราคม 58 จึงมีข้อมูลที่พลั่งพลูพร้อมทั้งจัดทีมกระบวนกรเพื่อยกร่างโครงการ โครงสร้าง ของทีมสมัชชาชุดใหม่ ในก้าวที่สองของสมัชชาสุขภาพลำพูน
.
ในวันที่ 22 มกราคม นี้จะเป็นอีกขยักหนึ่งของการเดินทางบนกระบวนการสมัชชาสุขภาพที่มีหลายภาคี ร่วมจับมือกันเดิน จะมีจังหวะก้าวอย่างไร จะมีใครร่วมเดินบ้าง ใกล้ๆได้ผลผลิตแล้วจะบอกเล่าให้ฟังอีกระยะนะครับ
นฤเทพ พรหมเทศน์ บ้านไร่ลำพูน
the diary 8 มค. พฤหัส วันเปิดมหาวิชชาลัยอุโมงค์สร้างพลเมือง
the diary 8 มค. พฤหัส วันเปิดมหาวิชชาลัยอุโมงค์สร้างพลเมือง
ลำพูนวันนี้ถูกคลุมด้วยเมฆคลืมที่ยามเข้าผมร่วมงานเปิดตัวมหาวิชชาลัย อุโมงค์สร้างพลเมือง ซึ่งในหนึ่งก็กลัวฝนมากลางหน้าหนาว อีกใจก็นึกปิติพื้นที่เล็กๆที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางอากาศเย็นตลอดทั้งวัน
.
มหาวิชชาลัย คือ นวัตกรรมทางสังคมที่ยกระดับตำบลสุขภาวะเดิม สู่การจัดกระบวนการเรียนรู้เต็มรูปแบบซึ่งมีท่านนายกเป็น นายกสภามหาวิชชาลัย พร้อม คณะสภาจากทุกภาคส่วนของสังคมลำพูน มีปลัดเป็นอธิการบดี และทุกภาคส่วนเป็นกลไกขับเคลื่อน มีบัณฑิตที่เรียกว่า พลเมือง อยู่ในตำบลอุโมงค์เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้อุโมงค์จึงถูกลือจาก สสส. ว่าเป็นท้องถิ่นที่สร้างพลเมือง ผมเองก็เป็นหนึ่งในผลผลิตนั้นครับ จากเยาวชนตำบลอุโมงค์ สู่การเป็นคณะกรรมการชุมชน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน โดยลำดับ ซึ่งจากวันนั้นสู่วันนี้ ความเป็นธุระในท้องถิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกแง่มุมของการทำงาน
.
นอกจากได้ปิติกับบ้านเกิดที่เติบโตแล้ว ยังดีใจที่ได้เจอพี่ๆเพื่อนๆคนทำงานทางสังคม ครูมุกดา รองเอ พะเยา อ.สุรเดช พิจิตร พี่ๆ นนส. ผอ.สวัสดิ สันป่าตอง เชียงใหม่ ผอ.หมู ริมปิง ลำพูน และอยู่ในบรรยากาศที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ และมีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกปิติเช่นนี้ผ่านทาง สวท.ลำพูนในช่วงเย็น หลังจากที่ไปสวัสดีปีใหม่ ประชาสัมพันธุ์จังหวัดลำพูน และ ผวจ.ลำพูน
.
แม้อากาศจะเย็นปนฟ้ามืดตลอดวัน ซ้ำจนค่ำมีฝนโปรยปรายพาให้คิดว่าคืนนี้คงหนาวกว่าทุกวัน แต่หัวใจก็ยังอบอุ่นด้วยความปิติที่เห็นบ้านเกิดเติบโต และเราเป็นส่วนหนึ่งในจักรนั้น ...เอ แต่คนที่หัวใจจะพองกว่าใครเพื่อนคงเป็นเจ้าลูกชายผมแน่ เพราะนี่วันพฤหัสแล้ว พรุ่งนี้ศุกร์ และก็ เสาร์ที่สองของเดือนมกรา (วันเด็ก) ท่าทางเขาจะเฝ้ารอมากเป็นพิเศษครับ
ลำพูนวันนี้ถูกคลุมด้วยเมฆคลืมที่ยามเข้าผมร่วมงานเปิดตัวมหาวิชชาลัย อุโมงค์สร้างพลเมือง ซึ่งในหนึ่งก็กลัวฝนมากลางหน้าหนาว อีกใจก็นึกปิติพื้นที่เล็กๆที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางอากาศเย็นตลอดทั้งวัน
.
มหาวิชชาลัย คือ นวัตกรรมทางสังคมที่ยกระดับตำบลสุขภาวะเดิม สู่การจัดกระบวนการเรียนรู้เต็มรูปแบบซึ่งมีท่านนายกเป็น นายกสภามหาวิชชาลัย พร้อม คณะสภาจากทุกภาคส่วนของสังคมลำพูน มีปลัดเป็นอธิการบดี และทุกภาคส่วนเป็นกลไกขับเคลื่อน มีบัณฑิตที่เรียกว่า พลเมือง อยู่ในตำบลอุโมงค์เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้อุโมงค์จึงถูกลือจาก สสส. ว่าเป็นท้องถิ่นที่สร้างพลเมือง ผมเองก็เป็นหนึ่งในผลผลิตนั้นครับ จากเยาวชนตำบลอุโมงค์ สู่การเป็นคณะกรรมการชุมชน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน โดยลำดับ ซึ่งจากวันนั้นสู่วันนี้ ความเป็นธุระในท้องถิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกแง่มุมของการทำงาน
.
นอกจากได้ปิติกับบ้านเกิดที่เติบโตแล้ว ยังดีใจที่ได้เจอพี่ๆเพื่อนๆคนทำงานทางสังคม ครูมุกดา รองเอ พะเยา อ.สุรเดช พิจิตร พี่ๆ นนส. ผอ.สวัสดิ สันป่าตอง เชียงใหม่ ผอ.หมู ริมปิง ลำพูน และอยู่ในบรรยากาศที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ และมีโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกปิติเช่นนี้ผ่านทาง สวท.ลำพูนในช่วงเย็น หลังจากที่ไปสวัสดีปีใหม่ ประชาสัมพันธุ์จังหวัดลำพูน และ ผวจ.ลำพูน
.
แม้อากาศจะเย็นปนฟ้ามืดตลอดวัน ซ้ำจนค่ำมีฝนโปรยปรายพาให้คิดว่าคืนนี้คงหนาวกว่าทุกวัน แต่หัวใจก็ยังอบอุ่นด้วยความปิติที่เห็นบ้านเกิดเติบโต และเราเป็นส่วนหนึ่งในจักรนั้น ...เอ แต่คนที่หัวใจจะพองกว่าใครเพื่อนคงเป็นเจ้าลูกชายผมแน่ เพราะนี่วันพฤหัสแล้ว พรุ่งนี้ศุกร์ และก็ เสาร์ที่สองของเดือนมกรา (วันเด็ก) ท่าทางเขาจะเฝ้ารอมากเป็นพิเศษครับ
บันทึกการเดินทางที่ 30.12 ปิดหนังสือเล่มเดิม เปิดหนังสือเล่มใหม่
บันทึกการเดินทางที่ 30.12 ปิดหนังสือเล่มเดิม เปิดหนังสือเล่มใหม่
.
และแล้วความพยายามเกือบเดือนก็สำเร็จช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครับ กับหนังสือดี เอนหลังฟัง : ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง หนังสือดีที่ได้รับจาก สำนักงานส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ(สกส.) จากการร่วมกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเขียนโดย ภินท์ ภารดาม มีชายสามคนเดินเรื่อง ศรชัย แมนนี่ และเทพกีต้า
.
ผมใช้เวลาอ่านเกือบเดือน ค่อยอ่าน และขีดบางคำ ได้อ่านบางเรื่อง(เสมือนฟังเสียงบทสนทนาบางตอนจากชายหลายคน) บางก็เสมือนมีเสียงอาจารย์ชัย วัฒน์ แว่วมาเป็นระยะเพราะท่านให้คำนิยมไว้ข้างต้น ซึ่งน่าแปลกว่าหลังจากที่ผมอ่านจบทดลองทำ mind map ของหนังสือเล่มนี้ดู เกือบทุกบทความจะเน้นในเรื่องของการใช้ใจเพื่อฟัง ฟังให้สุดเสียง เป็นคำพูดของแม่ป้าหน่อย พูดขึ้นเมื่อเห็นหนังสือเล่มนี้ และยิ่งดีใจซ้ำเข้าไปเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ในเล่มนี้เป็นคนจริงๆที่น่าจะได้ เข้าไปเรียนรู้ ผมจึงเพียงหวังว่าจะได้พูดคุยกับเทพกีต้าจริงๆ
.
ส่งที่น่าประหลาดใจระหว่างการเขียน mind map คือการเขียนคำว่า “ใจ” หลายครั้งเหลือเกินจนผมคิดว่าเพราะผมคิดหรือหนังสือต้องการเล่าเรื่องนี้ เพราะ 15 บทที่สื่อสารออกไปล้วนเป็นการสะท้อนให้เราฟังอย่างตั้งใจ ทั้งใจที่จะไม่คิดรบกวนเรื่องราวของผู้เล่า ทั้งไม่กวนที่จะเอาตัวเองอินเกินไปกับเรื่องราวต่างๆ แต่กลับมามี “สติ” ทุกครั้ง นอกเหนือจากการฟังอย่างลุ่มลึก ผมได้ได้เห็นหลายเรื่องผ่านอักษรทั้งศาสตร์แห่งการเล่น หรือ “พลังเล่น” ที่บางครั้งงานอาศัยความจริงจังไม่ได้ ต้องอาศัยการเล่นเป็นเครื่องมือ และอีกหลายเรื่องที่คงต้องรอเพื่อนสมาชิกหาอ่านเอาเอง(ฮ่า) เปิดเผยหมดก็คงพาเพื่อนๆหมดสนุกการสุนทรียะแห่งอักษรไปเสีย
.
ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมและภรรยาเดินทางกลับบ้านเกิดใน ฐานะเขยเมืองงาว ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาครับซึ่งนอกจากการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมให้จบและเริ่ม เปิดหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งมีขนาดที่หนามาก เอามาบูชาไว้นานแล้วถึงคราวอ่านเสียที วันแรกของปีเดินทางไหว้พระในเมืองพะเยา(วัดศรีโคมคำ) ไปงวดนี้เจอรูปปั้นน่าแปลกใจคือเสือและสัตย์ที่จะเป็นอาหาร แต่ก็กลับอยู่แบบเป็นมิตรเลยเก็บภาพมาก ส่วนช่วงเช้าในวันที่ 2 ของปีใหม่ผมได้แวะไปทานโจ๊กหน้าตลาดเมืองงาวอร่อยมาก แต่นึกๆไปก็หวนคิดถึงกลิ่นอายตอนเยือนเมืองยอง ข้าวคุ้น(ข้น) หน้าตาก็ใกล้กันมากเลย
.
เดินทางคราวนี้เรียกว่า อิ่มบุญ อุ่นใจ และสำเร็จในการเรียนรู้ เหลือเพียงบางเรื่องที่ยังคงค้างให้ทำปีนี้ เช่น เรื่อง “เยือนเมืองยอง” เรื่องเล่าที่ยังเขียนไม่เสร็จ และเรื่องเล่าสมัชชาครั้งที่ 7 ที่ยังไม่ได้เริ่มเขียนเลยสักนิด แต่ความความคิดที่อยากเล่า และอยากบันทึกไว้ ใจจึงต้องหอบมาทำข้ามปีครับ (บ้านลำพูน อุโมงค์ : 5.1.58)
.
และแล้วความพยายามเกือบเดือนก็สำเร็จช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ครับ กับหนังสือดี เอนหลังฟัง : ศิลปะการฟังอย่างลึกซึ้ง หนังสือดีที่ได้รับจาก สำนักงานส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคมแห่งชาติ(สกส.) จากการร่วมกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งเขียนโดย ภินท์ ภารดาม มีชายสามคนเดินเรื่อง ศรชัย แมนนี่ และเทพกีต้า
.
ผมใช้เวลาอ่านเกือบเดือน ค่อยอ่าน และขีดบางคำ ได้อ่านบางเรื่อง(เสมือนฟังเสียงบทสนทนาบางตอนจากชายหลายคน) บางก็เสมือนมีเสียงอาจารย์ชัย วัฒน์ แว่วมาเป็นระยะเพราะท่านให้คำนิยมไว้ข้างต้น ซึ่งน่าแปลกว่าหลังจากที่ผมอ่านจบทดลองทำ mind map ของหนังสือเล่มนี้ดู เกือบทุกบทความจะเน้นในเรื่องของการใช้ใจเพื่อฟัง ฟังให้สุดเสียง เป็นคำพูดของแม่ป้าหน่อย พูดขึ้นเมื่อเห็นหนังสือเล่มนี้ และยิ่งดีใจซ้ำเข้าไปเมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ในเล่มนี้เป็นคนจริงๆที่น่าจะได้ เข้าไปเรียนรู้ ผมจึงเพียงหวังว่าจะได้พูดคุยกับเทพกีต้าจริงๆ
.
ส่งที่น่าประหลาดใจระหว่างการเขียน mind map คือการเขียนคำว่า “ใจ” หลายครั้งเหลือเกินจนผมคิดว่าเพราะผมคิดหรือหนังสือต้องการเล่าเรื่องนี้ เพราะ 15 บทที่สื่อสารออกไปล้วนเป็นการสะท้อนให้เราฟังอย่างตั้งใจ ทั้งใจที่จะไม่คิดรบกวนเรื่องราวของผู้เล่า ทั้งไม่กวนที่จะเอาตัวเองอินเกินไปกับเรื่องราวต่างๆ แต่กลับมามี “สติ” ทุกครั้ง นอกเหนือจากการฟังอย่างลุ่มลึก ผมได้ได้เห็นหลายเรื่องผ่านอักษรทั้งศาสตร์แห่งการเล่น หรือ “พลังเล่น” ที่บางครั้งงานอาศัยความจริงจังไม่ได้ ต้องอาศัยการเล่นเป็นเครื่องมือ และอีกหลายเรื่องที่คงต้องรอเพื่อนสมาชิกหาอ่านเอาเอง(ฮ่า) เปิดเผยหมดก็คงพาเพื่อนๆหมดสนุกการสุนทรียะแห่งอักษรไปเสีย
.
ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผมและภรรยาเดินทางกลับบ้านเกิดใน ฐานะเขยเมืองงาว ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาครับซึ่งนอกจากการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมให้จบและเริ่ม เปิดหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งมีขนาดที่หนามาก เอามาบูชาไว้นานแล้วถึงคราวอ่านเสียที วันแรกของปีเดินทางไหว้พระในเมืองพะเยา(วัดศรีโคมคำ) ไปงวดนี้เจอรูปปั้นน่าแปลกใจคือเสือและสัตย์ที่จะเป็นอาหาร แต่ก็กลับอยู่แบบเป็นมิตรเลยเก็บภาพมาก ส่วนช่วงเช้าในวันที่ 2 ของปีใหม่ผมได้แวะไปทานโจ๊กหน้าตลาดเมืองงาวอร่อยมาก แต่นึกๆไปก็หวนคิดถึงกลิ่นอายตอนเยือนเมืองยอง ข้าวคุ้น(ข้น) หน้าตาก็ใกล้กันมากเลย
.
เดินทางคราวนี้เรียกว่า อิ่มบุญ อุ่นใจ และสำเร็จในการเรียนรู้ เหลือเพียงบางเรื่องที่ยังคงค้างให้ทำปีนี้ เช่น เรื่อง “เยือนเมืองยอง” เรื่องเล่าที่ยังเขียนไม่เสร็จ และเรื่องเล่าสมัชชาครั้งที่ 7 ที่ยังไม่ได้เริ่มเขียนเลยสักนิด แต่ความความคิดที่อยากเล่า และอยากบันทึกไว้ ใจจึงต้องหอบมาทำข้ามปีครับ (บ้านลำพูน อุโมงค์ : 5.1.58)
the diary 2.1.58 เพียงทานข้าวสักมื้อ นอนพักสักคืน ชีวิตของหญิงชราคนหนึ่งจะยาวยืนอีกสักปี
เพียงทานข้าวสักมื้อ นอนพักสักคืน ชีวิตของหญิงชราคนหนึ่งจะยาวยืนอีกสักปี
.
เสียงตัดพ้อ อย่างน้อยใจกลางตลาดเมืองงาว ช่วงเช้าที่หนาวเย็นกว่า 16 องศา ในคืนวันแรกของปีใหม่ ผมนั่งจิบกาแฟในตลาดพลอยได้ยินเสียงป้าคนหนึ่งเสมือนตันพ้อ ลูกหลานที่เดินทางกลับมาเยี่ยมเยือน แต่ให้เวลาเพียงเล็กน้อยแล้วจากไป ใจลึกคงอยากรั้งลูกหลานให้อยู่นานกว่านี้ แต่ด้วยเสียงที่คงดังลำคอไม่อาจรั้งให้เขาอยู่ต่อได้ดังใจ หลังให้ลูกหลานอยู่ให้พร้อมหน้าเห็นหน้า กินข้าวกัน นอนพักที่บ้านสักคืน ให้หญิงชราคนนี้ได้ดูแลเสมือนวัยเยาว์ คงพาอายุหญิงชราสดชื่นตั้งแต่ต้นปี
.
ฟังแล้วพาใจคิดถึงแม่พ่อที่ห่างไกล คิดถึงสาระของการเดินทางกลับของผู้คนในช่วงเทศกาล ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่จะได้พบกัน พาให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง สร้างกำลังใจพาให้คนที่เฝ้าคอยมีความสุขมีความหวัง หลายครั้งผมสงสัยว่าเทศกาลกินเลี้ยงหรือร้องเพลงเฮฮาอย่างไร้สาระ “สนุกตรงไหน” ภายใต้เสียงหัวเราะรอยยิ้ม มันคงเป็นการเติม พลังชีวิตให้คำว่า “ครอบครัว” ให้ได้ใกล้ชิดกันดังเดิมให้คุ้มค่าการเฝ้าคอยคนไกลตลอดปีที่ผ่านมา
.
ความหมายอันลึกซึ้งเช่นนี้สัมผัสได้ด้วยหัวใจ หัวใจที่ไร้ภาษาเยียวยาความรู้สึกของผู้คน ครอบครัว การพบหน้า ได้ล้อมวง พูดคุยกันเสมือนวันวาน ได้อยู่ร่วมกันทานข้าวสักมื้อ นอนพักสักคืน อย่างที่ป้าคนนั้นพ้อมาด้วยเสียงกึ่งขุ่นเคืองใจ อาจพาความโมโหปนน้อยใจ บรรเทาเบาลง จนเป็นความสุขที่จะส่งถึงแกตลอดปีใหม่นี้ก็เป็นไปได้ครับ (บ้านเมืองงาว : 2 มค 58)
.
เสียงตัดพ้อ อย่างน้อยใจกลางตลาดเมืองงาว ช่วงเช้าที่หนาวเย็นกว่า 16 องศา ในคืนวันแรกของปีใหม่ ผมนั่งจิบกาแฟในตลาดพลอยได้ยินเสียงป้าคนหนึ่งเสมือนตันพ้อ ลูกหลานที่เดินทางกลับมาเยี่ยมเยือน แต่ให้เวลาเพียงเล็กน้อยแล้วจากไป ใจลึกคงอยากรั้งลูกหลานให้อยู่นานกว่านี้ แต่ด้วยเสียงที่คงดังลำคอไม่อาจรั้งให้เขาอยู่ต่อได้ดังใจ หลังให้ลูกหลานอยู่ให้พร้อมหน้าเห็นหน้า กินข้าวกัน นอนพักที่บ้านสักคืน ให้หญิงชราคนนี้ได้ดูแลเสมือนวัยเยาว์ คงพาอายุหญิงชราสดชื่นตั้งแต่ต้นปี
.
ฟังแล้วพาใจคิดถึงแม่พ่อที่ห่างไกล คิดถึงสาระของการเดินทางกลับของผู้คนในช่วงเทศกาล ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่จะได้พบกัน พาให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง สร้างกำลังใจพาให้คนที่เฝ้าคอยมีความสุขมีความหวัง หลายครั้งผมสงสัยว่าเทศกาลกินเลี้ยงหรือร้องเพลงเฮฮาอย่างไร้สาระ “สนุกตรงไหน” ภายใต้เสียงหัวเราะรอยยิ้ม มันคงเป็นการเติม พลังชีวิตให้คำว่า “ครอบครัว” ให้ได้ใกล้ชิดกันดังเดิมให้คุ้มค่าการเฝ้าคอยคนไกลตลอดปีที่ผ่านมา
.
ความหมายอันลึกซึ้งเช่นนี้สัมผัสได้ด้วยหัวใจ หัวใจที่ไร้ภาษาเยียวยาความรู้สึกของผู้คน ครอบครัว การพบหน้า ได้ล้อมวง พูดคุยกันเสมือนวันวาน ได้อยู่ร่วมกันทานข้าวสักมื้อ นอนพักสักคืน อย่างที่ป้าคนนั้นพ้อมาด้วยเสียงกึ่งขุ่นเคืองใจ อาจพาความโมโหปนน้อยใจ บรรเทาเบาลง จนเป็นความสุขที่จะส่งถึงแกตลอดปีใหม่นี้ก็เป็นไปได้ครับ (บ้านเมืองงาว : 2 มค 58)
บันทึกการเดินทางที่ 30.11 เยือนงานสมัชชาชาติปี 57(อย่างย่อ)
บันทึกการเดินทางที่ 30.11 เยือนงานสมัชชาชาติปี 57(อย่างย่อ)
.
ช่วงระหว่างวันที่ 23-26 ธันวาคม ที่ผ่านมา หายไปตัวพักหนึ่งครับ สำหรับการไปเป็นนักเรียน โครงการนักสานพลัง ผมและพี่ๆร่วมก 50 ชีวิต เดินทางพร้อมกันเรียนรู้กระบวนการก่อนเกิด เคลื่อนไหว และติดตาม นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ในมหกรรมนโยบายเพื่อสุขภาพ "สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ" ปีนี้เป็นครั้งที่ 7 ณ เมืองทองธานี นนทบุรี
.
บรรยากาศของงานเป็นไปอย่างคึกคักครับ มีข้อสังเกตุหนึ่งจากพี่ชายของผมว่า บรรยากาศงานสมัชชาชาติปีนี้ ไม่ค่อยเน้น วิชาการมากนัก ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่าเน้นหรือไม่ แต่โดยภาพรวมเจ้าของงานก็ยอมรับว่าเป็นความพยายามสร้างสารให้ย่อยง่าย
.
ผมเองประทับใจในหลายส่วนครับ เช่นการจัดห้องเพื่อติดตามมติ ที่ใหญ่โตขึ้น และทำให้คนที่สนใจได้เรียนรู้มากขึ้น การจัดการห้องอื่นๆ ที่เรียกว่าเป็นสาระ เป็นการพัฒนา ที่เน้นการเรียนรู้อย่างวงกว้าง ให้เกิดขึ้นซึ่งถือว่า ภายในงานผู้ที่สนใจปัญญาอันมีอยู่อย่างมหาศาล สามารถมาเ
รียนรู้โดยใช้เวลาอย่างรวบรัดได้ในพื้นที่แห่งนี้ทีเดียวครับ
.
หนึ่งในหลายห้องมีห้องที่ผมชื่นชมที่สุดห้องหนึ่งคือห้องสมัชชาเธียเตอร์ ซึ่งเป็นเสมือนการนำเอาไอเดียของหนังสั้นมาฉาย พร้อมแลกเปลี่ยนในช่วงท้าย ซึ่งนอกจากความบันเทิงแล้ว ยังถือว่าช่วยกันวิเคราะห์ปัญญาในข้างท้ายอีกต่างหาก
.
หายไปหลายวัน แต่ก็ได้สิ่งดีๆกลับมามากมาย ทั้งการตระหนักรู้ในตัวตน การลงค้นหาตัวเอง ข้อดีที่ต้องพัฒนาต่อ ข้อเสียที่ต้องจัดการ และการสื่อสารในภาพลักษ์ใหม่ ช่วงเดือนตุลา ผมได้ถือโอกาสเปลี่ยนตัวเอง สร้างตัวตนใหม่ และช่วงปีใหม่ ก็จะเป็นช่วงเวลาดีทีจะได้ยกระดับตัวตนอีกครั้งหนึ่ง
.
ชีวิตของคนเราคงมีช่วงที่ได้เปลี่ยนแปลงในหลายครั้งครับ ขึ้นอยู่กับโอกาสต่างๆที่เข้ามา เรามีจุดแข็ง หรือมีความพร้อมแค่ไหน ผมเองโชคดีที่มีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำ คอยให้กำลังใจเสมอมาครับ แม้วันนี้ยังครองตนได้ไม่ดีนัก แต่วันหน้าเราจะยกระดับความคิด และสร้างตัวตนใหม่อยกครั้ง (28.12.57 : บ้านไร่ลำพูน)
.
ช่วงระหว่างวันที่ 23-26 ธันวาคม ที่ผ่านมา หายไปตัวพักหนึ่งครับ สำหรับการไปเป็นนักเรียน โครงการนักสานพลัง ผมและพี่ๆร่วมก 50 ชีวิต เดินทางพร้อมกันเรียนรู้กระบวนการก่อนเกิด เคลื่อนไหว และติดตาม นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ในมหกรรมนโยบายเพื่อสุขภาพ "สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ" ปีนี้เป็นครั้งที่ 7 ณ เมืองทองธานี นนทบุรี
.
บรรยากาศของงานเป็นไปอย่างคึกคักครับ มีข้อสังเกตุหนึ่งจากพี่ชายของผมว่า บรรยากาศงานสมัชชาชาติปีนี้ ไม่ค่อยเน้น วิชาการมากนัก ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่าเน้นหรือไม่ แต่โดยภาพรวมเจ้าของงานก็ยอมรับว่าเป็นความพยายามสร้างสารให้ย่อยง่าย
.
ผมเองประทับใจในหลายส่วนครับ เช่นการจัดห้องเพื่อติดตามมติ ที่ใหญ่โตขึ้น และทำให้คนที่สนใจได้เรียนรู้มากขึ้น การจัดการห้องอื่นๆ ที่เรียกว่าเป็นสาระ เป็นการพัฒนา ที่เน้นการเรียนรู้อย่างวงกว้าง ให้เกิดขึ้นซึ่งถือว่า ภายในงานผู้ที่สนใจปัญญาอันมีอยู่อย่างมหาศาล สามารถมาเ
รียนรู้โดยใช้เวลาอย่างรวบรัดได้ในพื้นที่แห่งนี้ทีเดียวครับ
.
หนึ่งในหลายห้องมีห้องที่ผมชื่นชมที่สุดห้องหนึ่งคือห้องสมัชชาเธียเตอร์ ซึ่งเป็นเสมือนการนำเอาไอเดียของหนังสั้นมาฉาย พร้อมแลกเปลี่ยนในช่วงท้าย ซึ่งนอกจากความบันเทิงแล้ว ยังถือว่าช่วยกันวิเคราะห์ปัญญาในข้างท้ายอีกต่างหาก
.
หายไปหลายวัน แต่ก็ได้สิ่งดีๆกลับมามากมาย ทั้งการตระหนักรู้ในตัวตน การลงค้นหาตัวเอง ข้อดีที่ต้องพัฒนาต่อ ข้อเสียที่ต้องจัดการ และการสื่อสารในภาพลักษ์ใหม่ ช่วงเดือนตุลา ผมได้ถือโอกาสเปลี่ยนตัวเอง สร้างตัวตนใหม่ และช่วงปีใหม่ ก็จะเป็นช่วงเวลาดีทีจะได้ยกระดับตัวตนอีกครั้งหนึ่ง
.
ชีวิตของคนเราคงมีช่วงที่ได้เปลี่ยนแปลงในหลายครั้งครับ ขึ้นอยู่กับโอกาสต่างๆที่เข้ามา เรามีจุดแข็ง หรือมีความพร้อมแค่ไหน ผมเองโชคดีที่มีพี่ๆ คอยให้คำแนะนำ คอยให้กำลังใจเสมอมาครับ แม้วันนี้ยังครองตนได้ไม่ดีนัก แต่วันหน้าเราจะยกระดับความคิด และสร้างตัวตนใหม่อยกครั้ง (28.12.57 : บ้านไร่ลำพูน)
the diary 22.12.57 เช้านี้อากาศสดใสเหมาะกับการทำงานครับ
เช้านี้อากาศสดใสเหมาะกับการทำงานครับ
.
หากนับสัปดาห์ ก็คงเหลืออีกแค่ 2 ครับสำหรับการเดินทางของปี 2557 ปีม้า ตามปฏิทิน ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีเพาะ แม้หลายสิ่งเคลื่อนตามวันเวลา แต่บางสิ่งก็ยังคงวนตามรอบ
.
เช้าวันจันทร์เป็นเช้าที่ผมตื่นที่สุด เพราะเสมือนการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ แม้จะบอกว่า เสาร์-อาทิตย์ ได้พักในระยะสั้น ๆ แต่อาจเพราะทำงานสัปดาห์ละ 7 วันจนชินชา เลยไม่รู้ว่ามันมีวันหยุดวันไหน นี่อาจเป็นข้อเสียของการทำงานแบบ work@home หรือ home office ซึ่งผมเองเฝ้าฝันมาตลอดเวลา
.
การทำงานแบบทุกวัน ทำให้อ่อนล้าก็จริงอยู่ แต่เมื่อถึงวันจันทร์เสมือนว่า เป็นวันที่จะมีความหวังไปสู่วันต่อไปๆ หากวันนี้สำเร็จไม่ว่าน้อย หรือ มาก ก็จะทำให้ทุกสิ่งอย่าง เติบโตตามอย่างงามงด(ฮ่า)
.
วันนี้ก็เช่นกันครับ เช้าที่อากาศดี เย็นสบาย กาแฟแก้วโปรดแม้แม้หลายสิ่งจะรีบเร่ง แต่เราก็มุ่งมั่นให้เสร็จโดยพลัน ผมเองสัปดาห์นี้(เรียกว่า โค้งสุดท้ายปีใหม่) ชีพจรลงเท้าตลอด แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านแต่ก็พยายามแบ่งเวลาให้ทุกสิ่งลงตัวครับ งาน พัฒนา ชีวิต ครอบครัว สังคม ทุกสิ่งพันเกี่ยวกันหมุนวนอย่างลงตัว
.
เอาหละครับ เป็นกำลังในให้เพื่อนสำหรับเช้าวันใหม่ อาจจะคุยกันช่วงสายไปสักนิด เพราะเช้าวันนี้หลายงานที่เครียเสร็จแล้ว และกำลังจะออกไปทำงานทางสังคม สายหน่อย เป็นนักจัดรายการ เป็นครู เป็นเจ้าของร้าน เป็นคนสวน ตามลำดับ ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นในรุ่งเช้า
.
สวัสดีวันจันทร์ครับ
.
หากนับสัปดาห์ ก็คงเหลืออีกแค่ 2 ครับสำหรับการเดินทางของปี 2557 ปีม้า ตามปฏิทิน ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีเพาะ แม้หลายสิ่งเคลื่อนตามวันเวลา แต่บางสิ่งก็ยังคงวนตามรอบ
.
เช้าวันจันทร์เป็นเช้าที่ผมตื่นที่สุด เพราะเสมือนการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ แม้จะบอกว่า เสาร์-อาทิตย์ ได้พักในระยะสั้น ๆ แต่อาจเพราะทำงานสัปดาห์ละ 7 วันจนชินชา เลยไม่รู้ว่ามันมีวันหยุดวันไหน นี่อาจเป็นข้อเสียของการทำงานแบบ work@home หรือ home office ซึ่งผมเองเฝ้าฝันมาตลอดเวลา
.
การทำงานแบบทุกวัน ทำให้อ่อนล้าก็จริงอยู่ แต่เมื่อถึงวันจันทร์เสมือนว่า เป็นวันที่จะมีความหวังไปสู่วันต่อไปๆ หากวันนี้สำเร็จไม่ว่าน้อย หรือ มาก ก็จะทำให้ทุกสิ่งอย่าง เติบโตตามอย่างงามงด(ฮ่า)
.
วันนี้ก็เช่นกันครับ เช้าที่อากาศดี เย็นสบาย กาแฟแก้วโปรดแม้แม้หลายสิ่งจะรีบเร่ง แต่เราก็มุ่งมั่นให้เสร็จโดยพลัน ผมเองสัปดาห์นี้(เรียกว่า โค้งสุดท้ายปีใหม่) ชีพจรลงเท้าตลอด แทบไม่ได้อยู่ติดบ้านแต่ก็พยายามแบ่งเวลาให้ทุกสิ่งลงตัวครับ งาน พัฒนา ชีวิต ครอบครัว สังคม ทุกสิ่งพันเกี่ยวกันหมุนวนอย่างลงตัว
.
เอาหละครับ เป็นกำลังในให้เพื่อนสำหรับเช้าวันใหม่ อาจจะคุยกันช่วงสายไปสักนิด เพราะเช้าวันนี้หลายงานที่เครียเสร็จแล้ว และกำลังจะออกไปทำงานทางสังคม สายหน่อย เป็นนักจัดรายการ เป็นครู เป็นเจ้าของร้าน เป็นคนสวน ตามลำดับ ก่อนที่การเดินทางจะเริ่มขึ้นในรุ่งเช้า
.
สวัสดีวันจันทร์ครับ
การเดินทางครั้งที่ 30.10 เขตสุขภาพเพื่อประชาชนงานออกแบบระยะเตรียม
การเดินทางครั้งที่ 30.10 เขตสุขภาพเพื่อประชาชนงานออกแบบระยะเตรียม
.
หลังจากวันที่ 3 ธค ทีมเคลื่อนเขตสุขภาพเพือประชาชนกับไปทบทวนทุน
วางแผนเป้าหมายและกลับมาเจอกันอีกครั้งวานนี้(20 ธค)ครับ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากวงใหญ่ มาร่วมกันยกร่าง แนวทาง Guideline
.
เขตสุขภาพเพื่อประชาชน เป็นมติหนึ่งว่าด้วยการปฏิรูประบบสุขภาพ
ที่ถูกเคลื่อนไหว และได้รับการผลักดันจากรัฐบาลในขณะนี้
สิ่งสำคัญคือการออกแบบเ
พื่อรวมทุกคนเข้าร่วมเป็นเนื้อเดียวกัน
ภายใต้ข้อจำกัดที่แตกต่าง แต่ต้องได้ผลสมใจผู้เข้าร่วม
(เพราะทุกคนต้องมีเป้าหมายของตนเอง)
.
การประชุมเมื่อวานนี้ก็เช่นกันครับ
เรามองเรื่องการจัดการ 2 ระดับ ที่ไม่แตะเรื่องประเด็น
จริงอยู่ล้านนา มีประเด็นสุขภาพมากมาย
แต่เนื่องด้วยวงนี้จะว่าด้วยโครงสร้าง หลักคิด
สิ่งที่จะเป็นผลผลิตจึงเป็นงานการออกแบบระยะเตรียม
.
เสมือนการขึ้นโครง วางเสา เพื่อให้บ้านขึ้นทรง
ตามเจตนารมของมติสมัชชา
จริงแล้วมติสมัชชามีเคลื่อนหลายเรื่อง
ทั้งโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว แต่ทุกเรื่องเคลื่อนเพราะเป็นประโยชน์โดยตรง
เรื่องเขตสุขภาพก็เช่นกัน แม้เหมือนนำร่องโดย สช.
แต่การทำงานในอนาคต คือการมาร่วมมาออกแบบงานด้วยกัน
.
แผนงานของทีมที่ร่วมคิดมี 2 ระดับครับ
คือระดับโครงสร้าง ใคร มาอย่างไร ทำไม
และระดับการจัดการ อย่างไร เพื่ออะไร ผมเขาวงนี้
งานนี้น่าแปลกอย่างหนึ่ง ที่เราแทบไม่ห่วงเรื่องงบประมาณ
เพราะเสมือนมีช่องทางของที่มามากมาย จนแทบบริหารจัดการไม่ทัน
.
ปัญหาคือ(ผมคิดเองนะ) เราจะคงจิตวิญญาณแห่งการมีส่วนร่วมอย่างไร
เราจะมีการจัดการให้ประชาชนมีพื้นที่อย่างแท้จริงได้อย่างไร
การเป็นเจ้าของ(สำนึกสาธารณะ)ที่ไม่ผูกขาดจะต้องมีกลไกอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ผมพยายามเน้นในพื้นที่คุยที่ผมมี
.
แต่ในภาพใหญ่ครับ ทุกคนตระหนักถึงจิตวิญญาณของการมีส่วนร่วม
การเป็นเจ้าของ และการเป็นผู้ที่จะเข้ามาเคลื่อนอย่างเต็มที่
ซึ่งการประชุมนี้ถือว่าได้ประโยชน์มากครับ
และมีหลายอย่างที่พร้อมจะนำเสนอในคราวสมัชชาชาติ
.
หลังวันที่ 24-26 ธค ในงานสมัชชาชาติ คงเห็นเค้าลาง
เขตสุขภาพเพื่อประชาชนมากขึ้น อีกประเด็นคือเรื่องชื่อครับ
ชือนั้นสำคัญฉะไหน แต่แน่นอนย่อมยังไม่ลงตัว
แต่เพื่อการสื่อสาร ผมขอลงไว้เพื่อให้เข้าใจตรงกันก่อนครับ
.
เขตสุขภาพเพื่อประชาชน ข่วงสุขภาพล้านนา เครือข่ายสุขภาพเพื่อประชาชน
จะเดินหน้าไปอย่างไร ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ
ต้องร่วมจับตา เติมเต็ม ติติง และลงมือ ร่วมกัน (เขียนที่บ้านลำพูน : 21.ธค.57)
.
หลังจากวันที่ 3 ธค ทีมเคลื่อนเขตสุขภาพเพือประชาชนกับไปทบทวนทุน
วางแผนเป้าหมายและกลับมาเจอกันอีกครั้งวานนี้(20 ธค)ครับ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากวงใหญ่ มาร่วมกันยกร่าง แนวทาง Guideline
.
เขตสุขภาพเพื่อประชาชน เป็นมติหนึ่งว่าด้วยการปฏิรูประบบสุขภาพ
ที่ถูกเคลื่อนไหว และได้รับการผลักดันจากรัฐบาลในขณะนี้
สิ่งสำคัญคือการออกแบบเ
พื่อรวมทุกคนเข้าร่วมเป็นเนื้อเดียวกัน
ภายใต้ข้อจำกัดที่แตกต่าง แต่ต้องได้ผลสมใจผู้เข้าร่วม
(เพราะทุกคนต้องมีเป้าหมายของตนเอง)
.
การประชุมเมื่อวานนี้ก็เช่นกันครับ
เรามองเรื่องการจัดการ 2 ระดับ ที่ไม่แตะเรื่องประเด็น
จริงอยู่ล้านนา มีประเด็นสุขภาพมากมาย
แต่เนื่องด้วยวงนี้จะว่าด้วยโครงสร้าง หลักคิด
สิ่งที่จะเป็นผลผลิตจึงเป็นงานการออกแบบระยะเตรียม
.
เสมือนการขึ้นโครง วางเสา เพื่อให้บ้านขึ้นทรง
ตามเจตนารมของมติสมัชชา
จริงแล้วมติสมัชชามีเคลื่อนหลายเรื่อง
ทั้งโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว แต่ทุกเรื่องเคลื่อนเพราะเป็นประโยชน์โดยตรง
เรื่องเขตสุขภาพก็เช่นกัน แม้เหมือนนำร่องโดย สช.
แต่การทำงานในอนาคต คือการมาร่วมมาออกแบบงานด้วยกัน
.
แผนงานของทีมที่ร่วมคิดมี 2 ระดับครับ
คือระดับโครงสร้าง ใคร มาอย่างไร ทำไม
และระดับการจัดการ อย่างไร เพื่ออะไร ผมเขาวงนี้
งานนี้น่าแปลกอย่างหนึ่ง ที่เราแทบไม่ห่วงเรื่องงบประมาณ
เพราะเสมือนมีช่องทางของที่มามากมาย จนแทบบริหารจัดการไม่ทัน
.
ปัญหาคือ(ผมคิดเองนะ) เราจะคงจิตวิญญาณแห่งการมีส่วนร่วมอย่างไร
เราจะมีการจัดการให้ประชาชนมีพื้นที่อย่างแท้จริงได้อย่างไร
การเป็นเจ้าของ(สำนึกสาธารณะ)ที่ไม่ผูกขาดจะต้องมีกลไกอย่างไร
สิ่งเหล่านี้ผมพยายามเน้นในพื้นที่คุยที่ผมมี
.
แต่ในภาพใหญ่ครับ ทุกคนตระหนักถึงจิตวิญญาณของการมีส่วนร่วม
การเป็นเจ้าของ และการเป็นผู้ที่จะเข้ามาเคลื่อนอย่างเต็มที่
ซึ่งการประชุมนี้ถือว่าได้ประโยชน์มากครับ
และมีหลายอย่างที่พร้อมจะนำเสนอในคราวสมัชชาชาติ
.
หลังวันที่ 24-26 ธค ในงานสมัชชาชาติ คงเห็นเค้าลาง
เขตสุขภาพเพื่อประชาชนมากขึ้น อีกประเด็นคือเรื่องชื่อครับ
ชือนั้นสำคัญฉะไหน แต่แน่นอนย่อมยังไม่ลงตัว
แต่เพื่อการสื่อสาร ผมขอลงไว้เพื่อให้เข้าใจตรงกันก่อนครับ
.
เขตสุขภาพเพื่อประชาชน ข่วงสุขภาพล้านนา เครือข่ายสุขภาพเพื่อประชาชน
จะเดินหน้าไปอย่างไร ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ
ต้องร่วมจับตา เติมเต็ม ติติง และลงมือ ร่วมกัน (เขียนที่บ้านลำพูน : 21.ธค.57)
the diary ผู้ว่าลำพูนพบสื่อมวลชนลำพูน 19.12.57
the diary ผู้ว่าลำพูนพบสื่อมวลชนลำพูน 19.12.57
เมื่อวานนี้ครับ (18 ธค)ได้ โอกาสดีในฐานนะ สื่ออาสา อปมช. ซึ่งผมเป็นรักษาการประธานรุ่น 55 หลังจากที่ได้อบรมและร่วมงานกับสวท.และ ส.ปชส.ลำพูน มาระยะหนึ่ง โดยส่วนตัวผมเองยังไม่ค่อยอินกับความเป็นสื่อนัก แม้จะทำงานหลายอย่าง และได้รับความเอ็นดูจากพี่ๆสื่อมากมาย แต่ก็ยังเสมือนเป็นน้องใหม่อยู่เสมอครับ
บรรยากาศยามเย็นที่ลำพูนวิว เป็นการพบปะระหว่างสื่อและภาครัฐ ที่คาดว่าเป็นความตั้งใจระหว่างท่านผู้ว่า ที่อยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสื่อและราชการดีโดยลำดับ จึงได้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้น และเชื่อว่าหลังจากนีสายสัมพันธ์ที่เกื้อกูลระหว่างสื่อและราชการ จะดีขึ้นนะครับ
ในครั้งแรกเป็นการพบกันระหว่างสื่อ ผู้ว่า และงานสำคัญที่จะเกิดขึ้นในลำพูน ทั้งการเตรียมความพร้อมอำนวยความปลอดภัยช่วงปีใหม่ การจัดเทศบาลดอยขะแม้แฟร์ ซึ่งงานนี้จะเป็นการนำเอาของดีเมืองมะเขือแจ้ มาจัดแสดงถือเป็นงานใหญ่อันดับสอง รองจากงานแห่น้ำทิพย์ จากนั้นวันที่ 27-30 ธค ช่วงก่อนส่งท้ายปีก็ชวนกันไปที่ ทต.อุโมงค์ในงานวิถีวัฒนธรรมปิงห่าง-ไส้อั่วหละปูนครั้งที่ 12 มีท่านนายกขยัน นำไวน์ และไส้อั่วมาให้ลองชิมดูด้วยครับ
นอกจากนั้นก็ยังมีการนำเสนอความก้าวหน้าของลำพูนในหลายด้าน เช่น ผลการชนะการประกวดสินค้า OTOP ที่ลำพูนมีสมุนไพร และลำไยสีทอง ที่กวาดรางวัลที่ หนึ่งกับที่สอง มา สามรายการ โดยมีท่านพัฒนากรจังหวัดนำเสนอ อีกทั้งมีความก้าวหน้าของการเตรียมรับมือกับปัญหาหมอกควัน ซึ่งถือเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเกิดเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สื่อพอจะทราบกันบ้างแล้วครับ แต่เสมือนเป็นการซ้ำเสริมเพื่อให้เกิดความเข้มข้นมากขึ้น

บรรยากาศนัดแรกดีมาก สาวๆ สวท. และ จาก ราชดำริสัมพันธ์ ถูกขนานนามว่าเป็นเด้นท์เซ่อ จังหวัด(ฮ่า) งานนี้มียิ้มแก้มปลิกันหลายคน และคงจะต้องมีต่อในเดือนต่อไป แต่ท่านผู้ว่าบอกอาจปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ซึ่งสิ่งที่คาดว่าจะคงไว้คือ ความสัมพันธ์ที่สื่อและราชการ จะมีให้แก่กันคือความเข้าใจ และหนุนเสริมให้งานต่างๆออกมาด้วยความเรียบร้อยและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สูงสุด (บ้านไร่ลำพูน 19.12.57)
เมื่อวานนี้ครับ (18 ธค)ได้ โอกาสดีในฐานนะ สื่ออาสา อปมช. ซึ่งผมเป็นรักษาการประธานรุ่น 55 หลังจากที่ได้อบรมและร่วมงานกับสวท.และ ส.ปชส.ลำพูน มาระยะหนึ่ง โดยส่วนตัวผมเองยังไม่ค่อยอินกับความเป็นสื่อนัก แม้จะทำงานหลายอย่าง และได้รับความเอ็นดูจากพี่ๆสื่อมากมาย แต่ก็ยังเสมือนเป็นน้องใหม่อยู่เสมอครับ
บรรยากาศยามเย็นที่ลำพูนวิว เป็นการพบปะระหว่างสื่อและภาครัฐ ที่คาดว่าเป็นความตั้งใจระหว่างท่านผู้ว่า ที่อยากเห็นความสัมพันธ์ระหว่างสื่อและราชการดีโดยลำดับ จึงได้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้น และเชื่อว่าหลังจากนีสายสัมพันธ์ที่เกื้อกูลระหว่างสื่อและราชการ จะดีขึ้นนะครับ
ในครั้งแรกเป็นการพบกันระหว่างสื่อ ผู้ว่า และงานสำคัญที่จะเกิดขึ้นในลำพูน ทั้งการเตรียมความพร้อมอำนวยความปลอดภัยช่วงปีใหม่ การจัดเทศบาลดอยขะแม้แฟร์ ซึ่งงานนี้จะเป็นการนำเอาของดีเมืองมะเขือแจ้ มาจัดแสดงถือเป็นงานใหญ่อันดับสอง รองจากงานแห่น้ำทิพย์ จากนั้นวันที่ 27-30 ธค ช่วงก่อนส่งท้ายปีก็ชวนกันไปที่ ทต.อุโมงค์ในงานวิถีวัฒนธรรมปิงห่าง-ไส้อั่วหละปูนครั้งที่ 12 มีท่านนายกขยัน นำไวน์ และไส้อั่วมาให้ลองชิมดูด้วยครับ
นอกจากนั้นก็ยังมีการนำเสนอความก้าวหน้าของลำพูนในหลายด้าน เช่น ผลการชนะการประกวดสินค้า OTOP ที่ลำพูนมีสมุนไพร และลำไยสีทอง ที่กวาดรางวัลที่ หนึ่งกับที่สอง มา สามรายการ โดยมีท่านพัฒนากรจังหวัดนำเสนอ อีกทั้งมีความก้าวหน้าของการเตรียมรับมือกับปัญหาหมอกควัน ซึ่งถือเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเกิดเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สื่อพอจะทราบกันบ้างแล้วครับ แต่เสมือนเป็นการซ้ำเสริมเพื่อให้เกิดความเข้มข้นมากขึ้น

บรรยากาศนัดแรกดีมาก สาวๆ สวท. และ จาก ราชดำริสัมพันธ์ ถูกขนานนามว่าเป็นเด้นท์เซ่อ จังหวัด(ฮ่า) งานนี้มียิ้มแก้มปลิกันหลายคน และคงจะต้องมีต่อในเดือนต่อไป แต่ท่านผู้ว่าบอกอาจปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ซึ่งสิ่งที่คาดว่าจะคงไว้คือ ความสัมพันธ์ที่สื่อและราชการ จะมีให้แก่กันคือความเข้าใจ และหนุนเสริมให้งานต่างๆออกมาด้วยความเรียบร้อยและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สูงสุด (บ้านไร่ลำพูน 19.12.57)
บันทึกการเดินทางครั้งที่ 30.9 คืนถิ่นน้ำเงินเหลือง
บันทึกการเดินทางครั้งที่ 30.9 คืนถิ่นน้ำเงินเหลือง
.
ต้นปี 2556 ผมได้รับโอกาสให้เข้าไปช่วยสนับสนุนการสอนชุมนุม กระบี่กระบอง ในปีแรกถือว่าล้มลุกคลุกคลานมากครับ แต่พอขึ้นปีที่ 2 (2557) ก็กลับเริ่มมีความหวังบ้างเมือ่ได้พบเด็กกลุ่มตั้งใจจริง ทำให้รู้สึกสนุกที่จะสอน ในขณะเดียวกันผมช่วงเวลาที่ผมเข้าไปสอนในจักรคำ ทำให้มีโอกาสได้ค้นพบ ครูที่ยกระดับตนเองสู่นักการศึกษา ที่กำลังสร้างนักเรียนพันธุ์ใหม่ นักเรียนกลุ่ม"เพาะพันธ์ปัญญา"
.
จันทร์ทีผ่านมาครับ(15 ธค 57) หลังจากที่ผมไปสอนเด็ก ๆ เสร็จ ก่อนกลับมีโอกาสพูดคุยกับครูเจี๊ยบ (วิสารดา ฉิมน้อย) ครูโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิต เกิดกระบวนการเรียนรู้ ยกระดับศักยภาพผู้เรียน มุ่งพัฒนาแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง(child center) โดยผมเคยคุยกับท่านอาจารย์ครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นผมยังไม่เห็นภาพของกลุ่มเพาะพันธุ์ปัญญาชัดเจนนัก แต่พอรู้เลาๆว่าเป็นโครงการหนึ่งในหน่วยงานที่ชือว่า สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.)
.
การคุยกันรอบนี้ แต่ผมต้องประหลาดใจเนื่องครั้งนี้ได้ผมได้เห็นทีม "ครูยุคใหม่" ที่มีใจมุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้และยกระดับศักยภาพเด็ก ซึ่งไม่ใช่ครูจากสาขาเดียวครับ มาจากหลากสาขาแต่มีใจเดียวกันคือ ยกระดับเด็กให้พร้อมเป็น "พลเมือง" หรือ บุคลากรทางสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในอนาคต โดยมุ่งพัฒนาเด็กโดยใช้โอกาสทางสังคมที่มี สนับสนุนการเรียนรู้ และเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กที่เกิดขึ้น
.
ในการพูดคุยผมจึงได้โอกาสถามความเห็นในโครงการลำพูนเมืองอ่าน หรือโครงการเพื่อเสริมกลไกทางสังคมเพื่อส่งเสริมการอ่าน ที่ผมกำลังเสนอ สสส.แผนส่งเสริมการอ่าน เติมให้เต็มด้วยอีกทางหนึ่ง ดูๆไปแล้วหากโครงการนี้สำเร็จ ก็จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเด็กในลำพูนได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นผมก็ได้คุยกับทีมครูอยูหลายประเด็นครับ ทั้งแนะนำงานที่ทำ บทบาทที่ได้รับ ความคิด และการหนุนเสริมเด็กในโครงการเพาะพันธ์ปัญญา
.
โดยหลักของการพูดคุยคงเน้นใน 1) การพัฒนาผู้เรียนผ่านการจัดรายการวิทยุ ซึ่งครูก็ต่างตื่นเต้นที่จะนำนักเรียนไปออกรายการ สวท.ลำพูน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเชื่อมกับ สวท.ลำพูน อีกครั้งหนึ่งแต่แน่ๆในเดือนมกราคม รายการที่ผมจัดวันจันทร์จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ น้องๆ "เพาะพันธุ์ปัญญา" นำเสนออยู่แน่นอนครับ และอาจมีการยกระดับกิจกรรมในอนาคต แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามกัน 2) การหนุนเสริมในโครงการอ่าน ผมมีความตั้งใจที่จะเสริมกระบวนการอ่านครับ เพราะผมเชื่อว่าเด็กลำพูนมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี เพียงแต่ขาดโอกาสที่จะได้พบเจอโลกกว้าง หากการอ่านจะเป็นประตูสู่โอกาสได้ ผมก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ต้องลงมือทำ โดยโปรเจคหลังดูจะยาวไกล แต่เสมือนว่า กลุ่มครูก็เห็นโอกาสที่จะได้พัฒนาเด็กควบคู่ไปด้วย
.
ในการสนทนาครับผมได้โอกาสแลกเปลี่ยนจากครูจักรคำผู้มีความตั้งใจหลายท่าน ได้เห็นความร่วมมือ และลักษณะของครูที่พึงประสงค์ ตามที่สังคมต้องการ ผมเชื่อเหลือเกินว่าสังคมยุคใหม่จะดีขึ้น เพราะเราไม่ได้มีแต่ครูที่เป็นแม่พิมพ์ แต่เริ่มเรายังมีครูที่เป็น 3D Printer ที่พร้อมสร้างคนเพื่อตอบสนองสังคม เคารพในศักยภาพ และยกระดับผู้เรียน พร้อมกับยกระดับศักยภาพตนเองควบคู่กัน พาให้เป็นนักการศึกษาอย่างสมบูรณ์
.
ขอบคุณช่วยเวลาดีๆครับ และถือเป็นการเดินทางเล็กที่ได้เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ของการพัฒนาคน สู่พลเมือง ที่จะสร้างความแข็งแรงแก่สังคมต่อไปครับ (บ้านไร่ลำพูน : 18.12.57)
.
ต้นปี 2556 ผมได้รับโอกาสให้เข้าไปช่วยสนับสนุนการสอนชุมนุม กระบี่กระบอง ในปีแรกถือว่าล้มลุกคลุกคลานมากครับ แต่พอขึ้นปีที่ 2 (2557) ก็กลับเริ่มมีความหวังบ้างเมือ่ได้พบเด็กกลุ่มตั้งใจจริง ทำให้รู้สึกสนุกที่จะสอน ในขณะเดียวกันผมช่วงเวลาที่ผมเข้าไปสอนในจักรคำ ทำให้มีโอกาสได้ค้นพบ ครูที่ยกระดับตนเองสู่นักการศึกษา ที่กำลังสร้างนักเรียนพันธุ์ใหม่ นักเรียนกลุ่ม"เพาะพันธ์ปัญญา"
.
จันทร์ทีผ่านมาครับ(15 ธค 57) หลังจากที่ผมไปสอนเด็ก ๆ เสร็จ ก่อนกลับมีโอกาสพูดคุยกับครูเจี๊ยบ (วิสารดา ฉิมน้อย) ครูโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิต เกิดกระบวนการเรียนรู้ ยกระดับศักยภาพผู้เรียน มุ่งพัฒนาแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง(child center) โดยผมเคยคุยกับท่านอาจารย์ครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นผมยังไม่เห็นภาพของกลุ่มเพาะพันธุ์ปัญญาชัดเจนนัก แต่พอรู้เลาๆว่าเป็นโครงการหนึ่งในหน่วยงานที่ชือว่า สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.)
.
การคุยกันรอบนี้ แต่ผมต้องประหลาดใจเนื่องครั้งนี้ได้ผมได้เห็นทีม "ครูยุคใหม่" ที่มีใจมุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้และยกระดับศักยภาพเด็ก ซึ่งไม่ใช่ครูจากสาขาเดียวครับ มาจากหลากสาขาแต่มีใจเดียวกันคือ ยกระดับเด็กให้พร้อมเป็น "พลเมือง" หรือ บุคลากรทางสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในอนาคต โดยมุ่งพัฒนาเด็กโดยใช้โอกาสทางสังคมที่มี สนับสนุนการเรียนรู้ และเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กที่เกิดขึ้น
.
ในการพูดคุยผมจึงได้โอกาสถามความเห็นในโครงการลำพูนเมืองอ่าน หรือโครงการเพื่อเสริมกลไกทางสังคมเพื่อส่งเสริมการอ่าน ที่ผมกำลังเสนอ สสส.แผนส่งเสริมการอ่าน เติมให้เต็มด้วยอีกทางหนึ่ง ดูๆไปแล้วหากโครงการนี้สำเร็จ ก็จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเด็กในลำพูนได้ดีทีเดียว นอกจากนั้นผมก็ได้คุยกับทีมครูอยูหลายประเด็นครับ ทั้งแนะนำงานที่ทำ บทบาทที่ได้รับ ความคิด และการหนุนเสริมเด็กในโครงการเพาะพันธ์ปัญญา
.
โดยหลักของการพูดคุยคงเน้นใน 1) การพัฒนาผู้เรียนผ่านการจัดรายการวิทยุ ซึ่งครูก็ต่างตื่นเต้นที่จะนำนักเรียนไปออกรายการ สวท.ลำพูน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเชื่อมกับ สวท.ลำพูน อีกครั้งหนึ่งแต่แน่ๆในเดือนมกราคม รายการที่ผมจัดวันจันทร์จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ น้องๆ "เพาะพันธุ์ปัญญา" นำเสนออยู่แน่นอนครับ และอาจมีการยกระดับกิจกรรมในอนาคต แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามกัน 2) การหนุนเสริมในโครงการอ่าน ผมมีความตั้งใจที่จะเสริมกระบวนการอ่านครับ เพราะผมเชื่อว่าเด็กลำพูนมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี เพียงแต่ขาดโอกาสที่จะได้พบเจอโลกกว้าง หากการอ่านจะเป็นประตูสู่โอกาสได้ ผมก็คิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่ต้องลงมือทำ โดยโปรเจคหลังดูจะยาวไกล แต่เสมือนว่า กลุ่มครูก็เห็นโอกาสที่จะได้พัฒนาเด็กควบคู่ไปด้วย
.
ในการสนทนาครับผมได้โอกาสแลกเปลี่ยนจากครูจักรคำผู้มีความตั้งใจหลายท่าน ได้เห็นความร่วมมือ และลักษณะของครูที่พึงประสงค์ ตามที่สังคมต้องการ ผมเชื่อเหลือเกินว่าสังคมยุคใหม่จะดีขึ้น เพราะเราไม่ได้มีแต่ครูที่เป็นแม่พิมพ์ แต่เริ่มเรายังมีครูที่เป็น 3D Printer ที่พร้อมสร้างคนเพื่อตอบสนองสังคม เคารพในศักยภาพ และยกระดับผู้เรียน พร้อมกับยกระดับศักยภาพตนเองควบคู่กัน พาให้เป็นนักการศึกษาอย่างสมบูรณ์
.
ขอบคุณช่วยเวลาดีๆครับ และถือเป็นการเดินทางเล็กที่ได้เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ของการพัฒนาคน สู่พลเมือง ที่จะสร้างความแข็งแรงแก่สังคมต่อไปครับ (บ้านไร่ลำพูน : 18.12.57)
บันทึกการเดินทางที่ 30.8 นับเป็นห้วงเวลาของการยกระดับการเรียนรู้ขึ้นสูงสุด
บันทึกการเดินทางที่ 30.8 นับเป็นห้วงเวลาของการยกระดับการเรียนรู้ขึ้นสูงสุด
.
วันนี้(13 ธค 57)เดินทางมาเขตบางกะปิครับ กลับมาโรงเรียนแรกในงานสังคม พอช. หรือสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งผมได้ร่วมเวทีสัมมนา “สานพลัง ปฏิรูปสังคม ให้ชุมชนเข้มแข็ง” จัดโดย สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ครับ มีคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสเป็นคณะเจ้าภาพร่วมกับ ภาคีมากมาย พอช. สสส. สช. สปพส. และมูลนิธิสัมมาชีพ
.
ช่วงแรกเป็นการปูพื้น เกริ่นนำโดย ศ.นพ.ประเวศ วสี จูนภาพการปฏิรูปให้ชัด สิ่งที่เป็น สิ่งที่ต้องก้าว และเครื่องมือสำคัญสู่การปฏิรูป น่าแปลกใจว่า หลักธรรมอย่าง ปฏิจจสมุปบาท ที่ประพุทธเจ้าทรงสอนไว้ก่อนปรินิพพาน จะเชื่อมใช้กับงานปฏิรูปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตามด้วยแนวคิดจาก ศ.เกียรติคุณ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ย้ำเจตนาของการปฏิรูปที่จะต้องเกิดจากฐานราก อย่างไร้ข้ออ้างใดๆเพราะทั้งจังหวะ ผู้นำ และโอกาสเปิดทุกประตู แต่ชุมชนท้องถิ่นพร้อมจริงหรือไม่ที่จะรับการคืนอำนาจนี้ แนวคิดสำคัญ 1)การรวมตัวของชุมชนที่ต้องมีระบบ 2)การสื่อความ สื่อสารที่ต้องต่อเนื่อง 3)เป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนว่าภาคประชาชนจะมุ่งทำเรื่องใด สิ่งเหล่านี้ต้องเหลาให้คม และเคลื่อนให้ได้อย่าได้รีรอ หรืองอแงทั้งสิ้น(ประตูแห่งโอกาสเปิดแล้ว) หรืออาจเริ่มที่ประเด็น คอรัปชั่น ซึ่ง อ.สมคิดทำให้เห็นว่าเป็นประเด็นหลักที่น่าสนใจ ตามด้วย ท่านประธานสปช. ดร.เทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสปช. เสริมข้อมูลของ ปสช. เป้าหมาย และแนวคิดของ กธม.ชุดนี้ถึงจุดเริ่ม และจุดปลายทางที่ต้องก้าวไป
.
ตบท้ายด้วยผู้ที่เรียกตนเองว่าขนมหวาน (หากเปรียบเป็นโต๊ะจีน)อย่าง นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ที่เน้นย้ำอย่างมีสีสันในหัวใจของการปฏิรูปที่ประชาชนเป็นเจ้าของ ซึ่งต้องอยู่ในระบบเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉายซ้ำให้เห็นถึงสามเหลี่ยมที่ผิดรูป(สามเหลี่ยมหัวกลับ) และจำเป็นจะต้องเป็นสามเหลี่ยมสมดุลที่พึงเป็น หลังจากแยกย้ายไปทานข้าวห่อตอง ผมร่วมเวทีอยู่ 2 คณะคือ คณะการปฏิรูประบบสุขภาวะ และคณะการปฏิรูปสังคมในระยะยาว ซึ่งห้องแรก 1)ผมเสนอการยกระดับคนสู่พลเมือง โดยความเชื่อมั่นในศักยภาพที่แต่ละองค์กรทีได้สร้างคนเอาไว้ พอช สช. สสส. ฯลฯ จะต้องเป็นเสมือนหนังสือสร้างเสริมสุขภาวะสังคม และผลักดันศักยภาพไปสู่ “พลเมือง” หลายท่านเห็นพ้องแม้ต่างที่รายละเอียดแต่หลักการเดียวกัน 2) ผมอยากเห็นการเคลื่อนของ พรบ.ปฏิรูป โดยจะต้องมีคณะหรือเลขาธิการ ที่คอยหนุนให้การปฏิรูปมีชีวิต 3) การเกิดกองทุนเพื่อการปฏิรูป หลังจากนั้นผมแวะไปอีกห้องหนึ่ง คือ การปฏิรูปสังคมในระยะยาว ห้องนี้ให้น้ำหนักที่ครอบครัวเป็นหลักครับ การศึกษา สังคม เสมือนการมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมในคนยุคต่อไป ซึ่งท้ายที่สุดมีแนวคิดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนของชาติ แต่ผมก็ไม่วายขายของที่ผมเห็นว่าน่าจะสำคัญหากนี่จะเป็นการปฏิรูปในระยะยาว โดยเรื่อง พรบ.ปฏิรูป กองทุน ยังคงมีอยู่แต่ผมเสนอ “สถาบันวิจัยระบบการปฏิรูปสังคมเพื่อการปฏิรูป” ซึ่งจะเป็นเสมือนองค์กรศึกษาแนวทางการปฏิรูปที่จะต้องควบคู่กับการปฏิรูป สังคม บนฐานปัญญา เพื่อรอหน้าต่างแห่งโอกาสที่จะเปิดรับการปฏิรูปสังคม ซึ่งจะต้องทำงานกันในระยะยาวแน่นอน
.
แม้ห้องนี้เองจะยอมรับเรื่องการสร้างคน หรือผลิตคนคุณภาพ แต่ยังติดใจกับคำว่า ประชาชน พลเมือง ทำให้ผมสะอึกใจได้ว่าเราเองอาจละเลยคุณค่าของผู้คน และหลงในวาทะกรรมมากไปเขาเป็นเขาที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ พลเมือง เป็นคุณสมบัติที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น เป็นเสมือนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้คนในสังคมไทย สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญกว่า การมีคำว่า พลเมือง ในรัฐธรรมนูญ
.
ท้ายสุดวันนี้ผมได้เห็น ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ได้พูดคุย ทักทายกับหลายคนที่เป็นพี่ๆ เป็นต้นแบบทางการพัฒนาผมของ และทำให้ได้เรียนรู้หลายสิ่งต่อยอดความคาใจ สัมมาชีพ ธุรกิจทางสังคม กิจการเพื่อสังคม ซึ่งจำเป็นอย่างมากหากจะให้ประชาชน เป็นประชาชนที่เข้มแข็ง เศรษฐกิจชุมชนเป็นตัวชี้ขาดหนึ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ถือว่ามีความรู้อีกมากมายครับที่ขนกับและกำลังศึกษาอยู่ วันหลังผมอาจจะไม่ได้มีเนื้อหาของการเดินทาง แต่อาจเป็นเรื่องที่อ่าน และเรียนรู้จากผลความสำเร็จของพี่ๆ มากขึ้น เพราะผมเลือกที่จะปักหมุดสร้างฐานให้มั่นคง เพราะก่อนจะจัดการผู้คน ต้องจัดการตนก่อน ก่อนจะสร้างธุรกิจเพื่อสังคม จำเป็นที่จะต้องสร้างธุรกิจที่เข้มแข็งซึ่งเราเองก็เหมาะสมที่จะทำได้ ผมเองก็อยู่ในวงธุรกิจ ต้องลงให้เต็มตัว ทำให้เต็มที่เพื่อจะได้มีเวลาเพื่อพัฒนาสังคมตามเจตนาที่สนใจ
วันนี้รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้กลับมาเรียนรู้ในโรงเรียนหลังแรก ที่ทำให้ผมได้ก้าวมาสู่กาเรียนรู้สาธารณะ และพัฒนาเป็นนักสร้างสรรค์ทางสังคมเช่นทุกวันนี้ครับ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : Gate44 ดอนเมือง)
.
วันนี้(13 ธค 57)เดินทางมาเขตบางกะปิครับ กลับมาโรงเรียนแรกในงานสังคม พอช. หรือสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งผมได้ร่วมเวทีสัมมนา “สานพลัง ปฏิรูปสังคม ให้ชุมชนเข้มแข็ง” จัดโดย สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ครับ มีคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสเป็นคณะเจ้าภาพร่วมกับ ภาคีมากมาย พอช. สสส. สช. สปพส. และมูลนิธิสัมมาชีพ
.
ช่วงแรกเป็นการปูพื้น เกริ่นนำโดย ศ.นพ.ประเวศ วสี จูนภาพการปฏิรูปให้ชัด สิ่งที่เป็น สิ่งที่ต้องก้าว และเครื่องมือสำคัญสู่การปฏิรูป น่าแปลกใจว่า หลักธรรมอย่าง ปฏิจจสมุปบาท ที่ประพุทธเจ้าทรงสอนไว้ก่อนปรินิพพาน จะเชื่อมใช้กับงานปฏิรูปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตามด้วยแนวคิดจาก ศ.เกียรติคุณ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ย้ำเจตนาของการปฏิรูปที่จะต้องเกิดจากฐานราก อย่างไร้ข้ออ้างใดๆเพราะทั้งจังหวะ ผู้นำ และโอกาสเปิดทุกประตู แต่ชุมชนท้องถิ่นพร้อมจริงหรือไม่ที่จะรับการคืนอำนาจนี้ แนวคิดสำคัญ 1)การรวมตัวของชุมชนที่ต้องมีระบบ 2)การสื่อความ สื่อสารที่ต้องต่อเนื่อง 3)เป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนว่าภาคประชาชนจะมุ่งทำเรื่องใด สิ่งเหล่านี้ต้องเหลาให้คม และเคลื่อนให้ได้อย่าได้รีรอ หรืองอแงทั้งสิ้น(ประตูแห่งโอกาสเปิดแล้ว) หรืออาจเริ่มที่ประเด็น คอรัปชั่น ซึ่ง อ.สมคิดทำให้เห็นว่าเป็นประเด็นหลักที่น่าสนใจ ตามด้วย ท่านประธานสปช. ดร.เทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสปช. เสริมข้อมูลของ ปสช. เป้าหมาย และแนวคิดของ กธม.ชุดนี้ถึงจุดเริ่ม และจุดปลายทางที่ต้องก้าวไป
.
ตบท้ายด้วยผู้ที่เรียกตนเองว่าขนมหวาน (หากเปรียบเป็นโต๊ะจีน)อย่าง นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ที่เน้นย้ำอย่างมีสีสันในหัวใจของการปฏิรูปที่ประชาชนเป็นเจ้าของ ซึ่งต้องอยู่ในระบบเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉายซ้ำให้เห็นถึงสามเหลี่ยมที่ผิดรูป(สามเหลี่ยมหัวกลับ) และจำเป็นจะต้องเป็นสามเหลี่ยมสมดุลที่พึงเป็น หลังจากแยกย้ายไปทานข้าวห่อตอง ผมร่วมเวทีอยู่ 2 คณะคือ คณะการปฏิรูประบบสุขภาวะ และคณะการปฏิรูปสังคมในระยะยาว ซึ่งห้องแรก 1)ผมเสนอการยกระดับคนสู่พลเมือง โดยความเชื่อมั่นในศักยภาพที่แต่ละองค์กรทีได้สร้างคนเอาไว้ พอช สช. สสส. ฯลฯ จะต้องเป็นเสมือนหนังสือสร้างเสริมสุขภาวะสังคม และผลักดันศักยภาพไปสู่ “พลเมือง” หลายท่านเห็นพ้องแม้ต่างที่รายละเอียดแต่หลักการเดียวกัน 2) ผมอยากเห็นการเคลื่อนของ พรบ.ปฏิรูป โดยจะต้องมีคณะหรือเลขาธิการ ที่คอยหนุนให้การปฏิรูปมีชีวิต 3) การเกิดกองทุนเพื่อการปฏิรูป หลังจากนั้นผมแวะไปอีกห้องหนึ่ง คือ การปฏิรูปสังคมในระยะยาว ห้องนี้ให้น้ำหนักที่ครอบครัวเป็นหลักครับ การศึกษา สังคม เสมือนการมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมในคนยุคต่อไป ซึ่งท้ายที่สุดมีแนวคิดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคนของชาติ แต่ผมก็ไม่วายขายของที่ผมเห็นว่าน่าจะสำคัญหากนี่จะเป็นการปฏิรูปในระยะยาว โดยเรื่อง พรบ.ปฏิรูป กองทุน ยังคงมีอยู่แต่ผมเสนอ “สถาบันวิจัยระบบการปฏิรูปสังคมเพื่อการปฏิรูป” ซึ่งจะเป็นเสมือนองค์กรศึกษาแนวทางการปฏิรูปที่จะต้องควบคู่กับการปฏิรูป สังคม บนฐานปัญญา เพื่อรอหน้าต่างแห่งโอกาสที่จะเปิดรับการปฏิรูปสังคม ซึ่งจะต้องทำงานกันในระยะยาวแน่นอน
.
แม้ห้องนี้เองจะยอมรับเรื่องการสร้างคน หรือผลิตคนคุณภาพ แต่ยังติดใจกับคำว่า ประชาชน พลเมือง ทำให้ผมสะอึกใจได้ว่าเราเองอาจละเลยคุณค่าของผู้คน และหลงในวาทะกรรมมากไปเขาเป็นเขาที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ พลเมือง เป็นคุณสมบัติที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น เป็นเสมือนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้คนในสังคมไทย สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งสำคัญกว่า การมีคำว่า พลเมือง ในรัฐธรรมนูญ
.
ท้ายสุดวันนี้ผมได้เห็น ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ได้พูดคุย ทักทายกับหลายคนที่เป็นพี่ๆ เป็นต้นแบบทางการพัฒนาผมของ และทำให้ได้เรียนรู้หลายสิ่งต่อยอดความคาใจ สัมมาชีพ ธุรกิจทางสังคม กิจการเพื่อสังคม ซึ่งจำเป็นอย่างมากหากจะให้ประชาชน เป็นประชาชนที่เข้มแข็ง เศรษฐกิจชุมชนเป็นตัวชี้ขาดหนึ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ถือว่ามีความรู้อีกมากมายครับที่ขนกับและกำลังศึกษาอยู่ วันหลังผมอาจจะไม่ได้มีเนื้อหาของการเดินทาง แต่อาจเป็นเรื่องที่อ่าน และเรียนรู้จากผลความสำเร็จของพี่ๆ มากขึ้น เพราะผมเลือกที่จะปักหมุดสร้างฐานให้มั่นคง เพราะก่อนจะจัดการผู้คน ต้องจัดการตนก่อน ก่อนจะสร้างธุรกิจเพื่อสังคม จำเป็นที่จะต้องสร้างธุรกิจที่เข้มแข็งซึ่งเราเองก็เหมาะสมที่จะทำได้ ผมเองก็อยู่ในวงธุรกิจ ต้องลงให้เต็มตัว ทำให้เต็มที่เพื่อจะได้มีเวลาเพื่อพัฒนาสังคมตามเจตนาที่สนใจ
วันนี้รู้สึกอิ่มเอิบใจที่ได้กลับมาเรียนรู้ในโรงเรียนหลังแรก ที่ทำให้ผมได้ก้าวมาสู่กาเรียนรู้สาธารณะ และพัฒนาเป็นนักสร้างสรรค์ทางสังคมเช่นทุกวันนี้ครับ (นฤเทพ พรหมเทศน์ : Gate44 ดอนเมือง)
บันทึกการเดินทางที่ 30.5 แอ่วเจียงตุง พะยาก และเมืองยอง
บันทึกการเดินทางที่ 30.5 แอ่วเจียงตุง พะยาก และเมืองยอง
ถือเป็นทริปที่มีความสำคัญ และได้เนื้อหาที่หลากหลายเอามาลงในบันทึกของผมเป็นอย่างมากครับ แต่ด้วยมุมมองที่มีอยู่มากล้น เลยกังวลว่าจะเขียนไม่เสร็จ และล่าช้าเกินกว่าการ จึงทำแบบย่อออกมาให้พวกเราได้รับทราบความเคลื่อนไหวหรือจังหวะก้าวของผม ในต่างแดนครับ
สัปดาห์ทีผ่านมา 24-27 พย 57 ผมเดินทางร่วมกับคณะผู้บริหารเทศบาลอุโมงค์ เจ้าหน้าที่ และบุคคลสำคัญหลายท่านถือว่าได้รับโอกาสสูงสุดที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยใน คราวการไปดูงานในเมืองยอง จะว่าเที่ยวก็ไม่เชิง จะว่าดูงานก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ได้มีมากมายเหลือเกินสำหรับผม การได้รู้ทุกข์ รู้สุข ของพี่น้องชาติพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญที่ผมสนใจครับ อยากรู้จริงๆว่าหากเปิดอาเซียนแล้วเราจะเป็นอย่างไร
แม้พม่าจะเป็นประเทศใหม่ที่เปิดประตูรับภาคธุรกิจ แต่ก็ยังไม่ใช่เมืองที่น่าลงทุนมากนักครับ ในเมืองที่ผมไปคือรัฐฉาน เมืองที่ยังมีการปกครองแบบแยกส่วน จะว่าจังหวัดจัดการตนเอง ก็ไม่เชิง เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินที่จ่ายไปอาจเข้าประเป๋าใครบางคน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบเศรษฐกิจของพม่ายังแยกส่วน ไม่ได้จ่ายค่าความสามารถของคนตามสมควรครับ
พม่าวันนี้ยังเป็นเมืองที่คนกลุ่มหลักคือคนสัญญาติพม่า ยังผูดขาดกับระบบรัฐะ ส่วนคนกลุ่มอื่นก็ไม่ค่อยสนใจเข้าทำงานในระบบรัฐ เพราะเงินเดือน หรือค่าตอบแทนที่ให้ค่อนข้างน้อย(ดูๆไปก็เหมือนทุกข์ลาภของคนพม่าแท้ครับ) และระบบที่พม่างยังใช้อยู่คือการแบ่งพื้นที่ให้ผู้นำที่ปกครอง จัดเก็บผลประโยชน์ โดยไม่ได้ผ่านระบบรัฐ หรือ ระบบท้องถิ่น ตามที่ควรจะเป็น เม็ดเงินจึงกระจาย หรือกระจุกลงแต่บางส่วนเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าโดยภาพรวมแล้วพลังทางเศรษฐกิจที่จะเกิดจากการระดมทุน คงเป็นไปได้ช้า แต่สิ่งเหล่านี้มันปรับเปลี่ยนได้ครับ และคิดว่าพม่าเองคงกำลังแก้ไขเรื่องนี้อยู่
ผมฟังเรื่องราวและคิดตามจากไกด์ผมสองท่าน สายมุ้ง และ ทุนทุนอู ไกด์ไทยใหญ่ และไกด์พม่าแท้ ปัจจุบันคนพม่า และคนชาติพันธุ์อื่นอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ในมิตินี้อาจหมายถึงคนพม่ารุ่นใหม่ ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเติบโตพวกเราเป็นเพื่อนกันครับ และทำงานร่วมกันในฐานะไกด์ พม่าเป็นเมืองที่แปลกหลายอย่าง เช่น ภาษาที่ต่างคนต่างพูดภาษาของตนเอง แต่ก็ฟังกันรู้เรื่อง (พม่า ไทยใหญ่ ลื้อ ยอง ไตเขิน) คิดๆไปก็คงน่าสนุกดี
คณะของพวกเราเดินทางไปเมืองพะยากเป็นที่แรกครับ ต่อด้วยเมืองยอง ถนนที่ฝ่ายช่างที่ติดตามไปประทับใจมาก เพราะเป็นถนนแบบราดยางมาตรฐานแบบที่ 1 ซึ่งในประเทศไทยไม่มีให้ผลิตอีกแล้ว(ความรู้ด้านถนน) แต่พวกเขาก็กำลังผลิตกัน ใจผมไม่อยากเรียกถนนเลย เพราะระยะทางแค่ ร้อยกว่าโลเดินทางกันเกือบครึ่งวัน
สิ่งหนึ่งที่ผมติดใจคือการคุยเรื่องเวลาครับ ไปพม่าไม่ต้องถามเรื่องเวลา เช้าก็คือเช้า สายก็คือสาย ไม่ต้องถามว่ากี่โมงถึง เพราะกว่าจะถึงเมืองยอง จอดพัก สามแห่ง แต่ละแห่งก็ล้วนบอกว่าอีกสักชั่วโมง(ฮ่า) จากเมืองยองเราไหว้พระธาตุจอมยอง ไปร่วมสร้างพระธาตุทองมั่น และพระธาตุหัวเวียง เราได้เห็นตลาดเมืองยอง ที่มีเศรษฐกิจที่ดีมากแห่งหนึ่ง และอาหารสามมื้อล้วนแต่มีถั่วเน่าประกอบแบบไม่คาดเอาเป็นว่า เบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว อาหารส่วนใหญ่ที่จัดเลี้ยงโดยชาวบ้านมักเป็นอาหารแบบเมืองแท้ๆ(ย้ำว่าแท้ๆ ครับ) บางคนถึงกับกินไม่ได้เพราะความออริจินอลมากๆ
จากเมืองยองเราเข้าสู่เชียงตุง ผมได้พบกับงานมหกรรมการพนัน หากเป็นบ้านเราผมคงขัดตามาก แต่เพราะเป็นต่างประเทศ กฎหมายที่บังคับใช้ไม่ได้แคร่งครัดนัก เหมือนงานฤดูหนาวบ้านเรา เป้าหมายก็เพื่อความสุข หรือความสนุกสนานของคนที่เข้าร่วมงาน ที่จริงแล้วก็เป็นชายหนุุ่มเสียส่วนใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากงานนี้คงเป็นเจตนาที่เขาจัด เพราะรัฐฉานเป็นเมืองที่เหมือนอู่ข้าวอู่น้ำ ทำการเกษตรได้ดีมาก การทำนาครั้งหนึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็น่าจะมีการผ่อนคลาย งานฤดูหนาวก็คงมีเพื่อกาลนี้ อีกอย่างชาวบ้านก็คงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเฮฮาที่ไหนมากนัก นานๆ ครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร และถือเป็นกระกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกทางหนึ่ง
ตลอดสี่วันผมได้เรียนรู้เมืองที่สนใจและคิดเสมอว่าหากมีโอกาส จะรวบรวมเงิน สะสมเวลาไปเที่ยวอีกเพราะข้อดีของเมืองยอง หรือ รัฐฉาน หรือ พม่า มีอยู่ที่ไม่มีใครโทรหา ไม่ต้องรับโทรศัพท์ หรือคอยบอกอะไรใคร ตัดขาดจากโลกภายนอก อยู่ในสังคมใหม่ เมืองที่มีอากาศดี มีสีเขียว มีสังคมที่น่าอยู่ ใกล้เคียงกับบ้านเรา แม้จะมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นบ้าง หรือความไม่ชัดเจนเรื่องการเมืองการปกครองที่เกาะกินบ้าง แต่ก็นับเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกเมืองหนึ่งครับ
(นฤเทพ 1.12.57 : บ้านลำพูน)
ปล.ภาพชุด เนื้อหา และบทความเสมือนยังไม่จุใจและเต็มที่จะเร่งขยายความเพื่อทำเป็น pocket book โดยไวครับ
ถือเป็นทริปที่มีความสำคัญ และได้เนื้อหาที่หลากหลายเอามาลงในบันทึกของผมเป็นอย่างมากครับ แต่ด้วยมุมมองที่มีอยู่มากล้น เลยกังวลว่าจะเขียนไม่เสร็จ และล่าช้าเกินกว่าการ จึงทำแบบย่อออกมาให้พวกเราได้รับทราบความเคลื่อนไหวหรือจังหวะก้าวของผม ในต่างแดนครับ
สัปดาห์ทีผ่านมา 24-27 พย 57 ผมเดินทางร่วมกับคณะผู้บริหารเทศบาลอุโมงค์ เจ้าหน้าที่ และบุคคลสำคัญหลายท่านถือว่าได้รับโอกาสสูงสุดที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยใน คราวการไปดูงานในเมืองยอง จะว่าเที่ยวก็ไม่เชิง จะว่าดูงานก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ได้มีมากมายเหลือเกินสำหรับผม การได้รู้ทุกข์ รู้สุข ของพี่น้องชาติพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญที่ผมสนใจครับ อยากรู้จริงๆว่าหากเปิดอาเซียนแล้วเราจะเป็นอย่างไร
แม้พม่าจะเป็นประเทศใหม่ที่เปิดประตูรับภาคธุรกิจ แต่ก็ยังไม่ใช่เมืองที่น่าลงทุนมากนักครับ ในเมืองที่ผมไปคือรัฐฉาน เมืองที่ยังมีการปกครองแบบแยกส่วน จะว่าจังหวัดจัดการตนเอง ก็ไม่เชิง เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินที่จ่ายไปอาจเข้าประเป๋าใครบางคน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบเศรษฐกิจของพม่ายังแยกส่วน ไม่ได้จ่ายค่าความสามารถของคนตามสมควรครับ
พม่าวันนี้ยังเป็นเมืองที่คนกลุ่มหลักคือคนสัญญาติพม่า ยังผูดขาดกับระบบรัฐะ ส่วนคนกลุ่มอื่นก็ไม่ค่อยสนใจเข้าทำงานในระบบรัฐ เพราะเงินเดือน หรือค่าตอบแทนที่ให้ค่อนข้างน้อย(ดูๆไปก็เหมือนทุกข์ลาภของคนพม่าแท้ครับ) และระบบที่พม่างยังใช้อยู่คือการแบ่งพื้นที่ให้ผู้นำที่ปกครอง จัดเก็บผลประโยชน์ โดยไม่ได้ผ่านระบบรัฐ หรือ ระบบท้องถิ่น ตามที่ควรจะเป็น เม็ดเงินจึงกระจาย หรือกระจุกลงแต่บางส่วนเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าโดยภาพรวมแล้วพลังทางเศรษฐกิจที่จะเกิดจากการระดมทุน คงเป็นไปได้ช้า แต่สิ่งเหล่านี้มันปรับเปลี่ยนได้ครับ และคิดว่าพม่าเองคงกำลังแก้ไขเรื่องนี้อยู่
ผมฟังเรื่องราวและคิดตามจากไกด์ผมสองท่าน สายมุ้ง และ ทุนทุนอู ไกด์ไทยใหญ่ และไกด์พม่าแท้ ปัจจุบันคนพม่า และคนชาติพันธุ์อื่นอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ในมิตินี้อาจหมายถึงคนพม่ารุ่นใหม่ ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองเติบโตพวกเราเป็นเพื่อนกันครับ และทำงานร่วมกันในฐานะไกด์ พม่าเป็นเมืองที่แปลกหลายอย่าง เช่น ภาษาที่ต่างคนต่างพูดภาษาของตนเอง แต่ก็ฟังกันรู้เรื่อง (พม่า ไทยใหญ่ ลื้อ ยอง ไตเขิน) คิดๆไปก็คงน่าสนุกดี
คณะของพวกเราเดินทางไปเมืองพะยากเป็นที่แรกครับ ต่อด้วยเมืองยอง ถนนที่ฝ่ายช่างที่ติดตามไปประทับใจมาก เพราะเป็นถนนแบบราดยางมาตรฐานแบบที่ 1 ซึ่งในประเทศไทยไม่มีให้ผลิตอีกแล้ว(ความรู้ด้านถนน) แต่พวกเขาก็กำลังผลิตกัน ใจผมไม่อยากเรียกถนนเลย เพราะระยะทางแค่ ร้อยกว่าโลเดินทางกันเกือบครึ่งวัน
สิ่งหนึ่งที่ผมติดใจคือการคุยเรื่องเวลาครับ ไปพม่าไม่ต้องถามเรื่องเวลา เช้าก็คือเช้า สายก็คือสาย ไม่ต้องถามว่ากี่โมงถึง เพราะกว่าจะถึงเมืองยอง จอดพัก สามแห่ง แต่ละแห่งก็ล้วนบอกว่าอีกสักชั่วโมง(ฮ่า) จากเมืองยองเราไหว้พระธาตุจอมยอง ไปร่วมสร้างพระธาตุทองมั่น และพระธาตุหัวเวียง เราได้เห็นตลาดเมืองยอง ที่มีเศรษฐกิจที่ดีมากแห่งหนึ่ง และอาหารสามมื้อล้วนแต่มีถั่วเน่าประกอบแบบไม่คาดเอาเป็นว่า เบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว อาหารส่วนใหญ่ที่จัดเลี้ยงโดยชาวบ้านมักเป็นอาหารแบบเมืองแท้ๆ(ย้ำว่าแท้ๆ ครับ) บางคนถึงกับกินไม่ได้เพราะความออริจินอลมากๆ
จากเมืองยองเราเข้าสู่เชียงตุง ผมได้พบกับงานมหกรรมการพนัน หากเป็นบ้านเราผมคงขัดตามาก แต่เพราะเป็นต่างประเทศ กฎหมายที่บังคับใช้ไม่ได้แคร่งครัดนัก เหมือนงานฤดูหนาวบ้านเรา เป้าหมายก็เพื่อความสุข หรือความสนุกสนานของคนที่เข้าร่วมงาน ที่จริงแล้วก็เป็นชายหนุุ่มเสียส่วนใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากงานนี้คงเป็นเจตนาที่เขาจัด เพราะรัฐฉานเป็นเมืองที่เหมือนอู่ข้าวอู่น้ำ ทำการเกษตรได้ดีมาก การทำนาครั้งหนึ่งเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็น่าจะมีการผ่อนคลาย งานฤดูหนาวก็คงมีเพื่อกาลนี้ อีกอย่างชาวบ้านก็คงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเฮฮาที่ไหนมากนัก นานๆ ครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร และถือเป็นกระกระตุ้นเศรษฐกิจไปอีกทางหนึ่ง
ตลอดสี่วันผมได้เรียนรู้เมืองที่สนใจและคิดเสมอว่าหากมีโอกาส จะรวบรวมเงิน สะสมเวลาไปเที่ยวอีกเพราะข้อดีของเมืองยอง หรือ รัฐฉาน หรือ พม่า มีอยู่ที่ไม่มีใครโทรหา ไม่ต้องรับโทรศัพท์ หรือคอยบอกอะไรใคร ตัดขาดจากโลกภายนอก อยู่ในสังคมใหม่ เมืองที่มีอากาศดี มีสีเขียว มีสังคมที่น่าอยู่ ใกล้เคียงกับบ้านเรา แม้จะมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นบ้าง หรือความไม่ชัดเจนเรื่องการเมืองการปกครองที่เกาะกินบ้าง แต่ก็นับเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกเมืองหนึ่งครับ
(นฤเทพ 1.12.57 : บ้านลำพูน)
ปล.ภาพชุด เนื้อหา และบทความเสมือนยังไม่จุใจและเต็มที่จะเร่งขยายความเพื่อทำเป็น pocket book โดยไวครับ
บันทึกการเดินทางที่ 30.4 พัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะสังคม
บันทึกการเดินทางที่ 30.4 พัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะสังคม
ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปครับ ขออภัยด้วยเนื่องจากอ่อนเพลียเหนื่อยล้าสะสมจากการเดินทางทริปเชียงตุง ย้อนอดีต กำหนดปัจจุบัน สร้างฝันอนาคต ในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษณ์และวัฒนธรรม เนื่องจากทริปนี้ยาวนาน มีหลายเรื่องที่อยากเล่า คงต้องใช้เวลาเรียบเรียงสักพัก การเดินทางของวันที่ 28 พย. จึงต้องออกมาก่อนเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบถึงสถานการณ์สาธารณะเพื่อสุข ภาวะสังคมครับ
สำหรับทริปนี้ผมได้รับเชิญจากเครือข่ายวิจัย 500 ตำบล ที่ศึกษาการ พัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม หรือเรียกสั้นๆว่า 500 ตำบล โดยภาคเหนือปีแรกวางแผน 4 จังหวัด ครอบคลุมน่าจะประมาณ 50 ตำบล(อันนี้ข้อมูลไม่จำไม่ได้) ปีที่สองเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน และได้เชิญทีมประสานพลังจากจังหวัดต่างๆร่วมขับเคลื่อนถอดความรู้การสร้าง นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ทั้งเกิดโดยธรรมชาติ และเกิดโดยการสนับสนุนขององค์กรตระกูล ส.
สำหรับลำพูนปีนี้ที่ประชุมเชิญผมเข้าร่วมเพิ่มเติมจากแกนจังหวัดเดิม(อาจ เพราะเริ่มรู้จักในนามนักสานพลังโดย อ.เดชา) และเพิ่มพี่หมู ธวัชัย ในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อเป็นแกนกลางในการทำงาน(ผมยังไม่ได้แจ้งพี่หมูอย่างเป็นทางการ เนื่องจากวุ่นๆหลายเรื่อง คาดว่าคงทราบในบันทึกนี้ และวันที่ผมเจอพี่ ผอ.หมู ก็จะซ้ำเสริมอีกคราว) โดยจังหวัดลำพูนในปีที่สอง เพิ่มอีก 8 พื้นที่การเรียนรู้ เวียงยอง, บ้านแป้น, เหมืองจี้, ประตูป่า, ต้นธง, แม่แรง, บ้านธิ ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตนโยบายสาธารณะทางสุขภาพเพื่อหาเหตุแห่งความเข้มแข็งทาง นโยบายของชุมชน
ส่วนผลการทำงานจะเป็นอย่างไร หลังปีใหม่จะเริ่มมีการคุยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมจะก็นำเรื่องราวที่เป็นพลังสื่อสารอีกเป็นระยะครับ
ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปครับ ขออภัยด้วยเนื่องจากอ่อนเพลียเหนื่อยล้าสะสมจากการเดินทางทริปเชียงตุง ย้อนอดีต กำหนดปัจจุบัน สร้างฝันอนาคต ในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษณ์และวัฒนธรรม เนื่องจากทริปนี้ยาวนาน มีหลายเรื่องที่อยากเล่า คงต้องใช้เวลาเรียบเรียงสักพัก การเดินทางของวันที่ 28 พย. จึงต้องออกมาก่อนเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบถึงสถานการณ์สาธารณะเพื่อสุข ภาวะสังคมครับ
สำหรับทริปนี้ผมได้รับเชิญจากเครือข่ายวิจัย 500 ตำบล ที่ศึกษาการ พัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม หรือเรียกสั้นๆว่า 500 ตำบล โดยภาคเหนือปีแรกวางแผน 4 จังหวัด ครอบคลุมน่าจะประมาณ 50 ตำบล(อันนี้ข้อมูลไม่จำไม่ได้) ปีที่สองเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน และได้เชิญทีมประสานพลังจากจังหวัดต่างๆร่วมขับเคลื่อนถอดความรู้การสร้าง นโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม ทั้งเกิดโดยธรรมชาติ และเกิดโดยการสนับสนุนขององค์กรตระกูล ส.
สำหรับลำพูนปีนี้ที่ประชุมเชิญผมเข้าร่วมเพิ่มเติมจากแกนจังหวัดเดิม(อาจ เพราะเริ่มรู้จักในนามนักสานพลังโดย อ.เดชา) และเพิ่มพี่หมู ธวัชัย ในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อเป็นแกนกลางในการทำงาน(ผมยังไม่ได้แจ้งพี่หมูอย่างเป็นทางการ เนื่องจากวุ่นๆหลายเรื่อง คาดว่าคงทราบในบันทึกนี้ และวันที่ผมเจอพี่ ผอ.หมู ก็จะซ้ำเสริมอีกคราว) โดยจังหวัดลำพูนในปีที่สอง เพิ่มอีก 8 พื้นที่การเรียนรู้ เวียงยอง, บ้านแป้น, เหมืองจี้, ประตูป่า, ต้นธง, แม่แรง, บ้านธิ ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตนโยบายสาธารณะทางสุขภาพเพื่อหาเหตุแห่งความเข้มแข็งทาง นโยบายของชุมชน
ส่วนผลการทำงานจะเป็นอย่างไร หลังปีใหม่จะเริ่มมีการคุยอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผมจะก็นำเรื่องราวที่เป็นพลังสื่อสารอีกเป็นระยะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558
บันทึกการเดินทางที่ 30.3 เหมือนมวยที่ต่อยไม่ครบยก
บันทึกการเดินทางที่ 30.3 เหมือนมวยที่ต่อยไม่ครบยก
วันนี้ได้โอกาสเรียนรู้กระบวนการเคลื่อนไหวหนึ่งในสังคมครับสำหรับคนที่ ติดตามและห่วงใยในการปฏิรูปสังคม โดยยึดโยกจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 มติที่ 8 การปฏิรูประบบสุขภาพ ภายใต้การปฏิรูปประเทศไทยซึ่งความห่วงใยนั้นก่อให้เกิดการวมตัวของคนทำ งานกลุ่มหนึ่งเพื่อติดตามจังหวะของการปฏิรูป เสียดายที่ต้องกลับก่อนเพราะวางแผนการเดินทางผิดไป
ผมเดินทางกับสิงโตบิน(lionairthai) ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆสำหรับคนที่ไม่ค่อยเดินทงกับน้องสิงบินได้ นะครับ ผมเคยตกเครื่องครั้งหนึ่งสมัยที่ยังผูกพันกับน้องนก(nokair) เป็นอาการที่เจ็บปวดมาก พอชวงบ่ายๆผมเกิดเช็คอินไม่ได้ โทรคอเซ็นเตอร์ของสิงโตบินไม่ติดก็กระวนกระวายใจเพราะต้องรีบบินตอนบ่าย 3.05 เลยต้องขออนุญาตออกมาก่อนทั้งๆที่เตรียมอะไรไว้มากมาย พอถึงสนามบินจึงได้โอกาสถามเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเลยรู้ว่าหากเช็คอินผ่านเน็ท ต้องทำก่อน 24 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 4 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก และหากต้องมาสมายก็สูงสุดไม่กิน 45 นาที เอาหละคราวนี้รู้แล้ว คราวหน้าจะไม่พลาดละ และจะวางแผนกลับดึกเช่นเดิมดีกว่า เพื่อให้ไดงาน ไหนๆก็ข้ามน้ำข้ามฟ้าไปแล้ว
สำหรับคณะติดตามการเป็นการก่อตัวจากความห่วงใยสังคม และขาเคลื่อนของมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 ว่าด้วยกระบวนการปฏิรูปโดยสรุปเท่าทีติดตามผ่านไลน์ทราบว่าพี่สุรพงษ์ ได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าทีมติดตาม และมีแกนประสานจากทุกภาคคอยร่วม เป็นลมใต้ปีกของการปฏิรูป หรืออาจเรียกเป็นกรมชลประธานสำหรับแม่น้ำ 5 สายแห่งการปฏิรูป ติดตาม เฝ้าดู และหนุนเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญของบ้านเมือง เพื่อให้ประชาชน เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งที่ผมพยายมสะท้อนด้วยเวลาอันจำกัดคือการสร้างพลเมืองให้เกิดขึ้น โดยใช้กระบวนการสมัชชา สปร. หรือ สมัชชาปฏิรูป เดิมทำไว้ดีมากครับเป็นเสมือนโรงเรียนสร้างพลเมือง ผมอยากเห็น สปร.4 กลับมาอีกครั้ง และเสริมพลังด้วยการสานกลุ่มจังหวัดเพื่อให้มีการแลกเปลีย่นทิศทาง ข่าวสาร และพัฒนาการ
ที่ว่ามานี้กลุ่มนี้คงไม่ใช่ทั้งหมด หรือเป็นแม่น้ำสายที่ 6 หรือ 7,8 หรอกนะครับ แต่อาจเป็นเสมือนผู้เฝ้าติดตาม ไม่ติติง แต่จะคอยลงมือลุย ปฏิบัติ แม่น้ำสายใดตีบตัน บัวลอยแน่หนาก็จะช่วยกันเอามื้อเอาแรง เส้นใดชักเน่าเสียก็คงต้องใส่ EM เพื่อให้เกิดน้ำที่ดีและเป็นประโยชน์ที่สุดของคนไทย
เสียดายที่สุดตรงที่ไม่ได้อยู่จนจบกระบวนการ แต่ถือว่าได้ยึดกุมหัวใจสำคัญของกระบวนการเปลียนผ่านทางสังคม ได้รู้ ได้เรียน และได้ตอกย้ำว่า ชุมชนท้องถิ่น เป็นฐานรากสำคัญของการปฏิรูป การกระจายอำนาจในเชิง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องดำเนินการ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชุมชนท้องถิ่น คน ประชาชน หรือพลเมือง เป็นหน่วยเล็กที่สุดที่ต้องเร่งเสริม เพื่อสังคมคุณภาพ ต้องการคนคุณภาพครับ เราจึงต้องมุ่งเป้าสู่การสร้าง...พลเมือง
(20.11.57 : บ้านนายออส.ลำพูน)
วันนี้ได้โอกาสเรียนรู้กระบวนการเคลื่อนไหวหนึ่งในสังคมครับสำหรับคนที่ ติดตามและห่วงใยในการปฏิรูปสังคม โดยยึดโยกจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 มติที่ 8 การปฏิรูประบบสุขภาพ ภายใต้การปฏิรูปประเทศไทยซึ่งความห่วงใยนั้นก่อให้เกิดการวมตัวของคนทำ งานกลุ่มหนึ่งเพื่อติดตามจังหวะของการปฏิรูป เสียดายที่ต้องกลับก่อนเพราะวางแผนการเดินทางผิดไป
ผมเดินทางกับสิงโตบิน(lionairthai) ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆสำหรับคนที่ไม่ค่อยเดินทงกับน้องสิงบินได้ นะครับ ผมเคยตกเครื่องครั้งหนึ่งสมัยที่ยังผูกพันกับน้องนก(nokair) เป็นอาการที่เจ็บปวดมาก พอชวงบ่ายๆผมเกิดเช็คอินไม่ได้ โทรคอเซ็นเตอร์ของสิงโตบินไม่ติดก็กระวนกระวายใจเพราะต้องรีบบินตอนบ่าย 3.05 เลยต้องขออนุญาตออกมาก่อนทั้งๆที่เตรียมอะไรไว้มากมาย พอถึงสนามบินจึงได้โอกาสถามเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเลยรู้ว่าหากเช็คอินผ่านเน็ท ต้องทำก่อน 24 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 4 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก และหากต้องมาสมายก็สูงสุดไม่กิน 45 นาที เอาหละคราวนี้รู้แล้ว คราวหน้าจะไม่พลาดละ และจะวางแผนกลับดึกเช่นเดิมดีกว่า เพื่อให้ไดงาน ไหนๆก็ข้ามน้ำข้ามฟ้าไปแล้ว
สำหรับคณะติดตามการเป็นการก่อตัวจากความห่วงใยสังคม และขาเคลื่อนของมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 ว่าด้วยกระบวนการปฏิรูปโดยสรุปเท่าทีติดตามผ่านไลน์ทราบว่าพี่สุรพงษ์ ได้รับเกียรติให้เป็นหัวหน้าทีมติดตาม และมีแกนประสานจากทุกภาคคอยร่วม เป็นลมใต้ปีกของการปฏิรูป หรืออาจเรียกเป็นกรมชลประธานสำหรับแม่น้ำ 5 สายแห่งการปฏิรูป ติดตาม เฝ้าดู และหนุนเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงสำคัญของบ้านเมือง เพื่อให้ประชาชน เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งที่ผมพยายมสะท้อนด้วยเวลาอันจำกัดคือการสร้างพลเมืองให้เกิดขึ้น โดยใช้กระบวนการสมัชชา สปร. หรือ สมัชชาปฏิรูป เดิมทำไว้ดีมากครับเป็นเสมือนโรงเรียนสร้างพลเมือง ผมอยากเห็น สปร.4 กลับมาอีกครั้ง และเสริมพลังด้วยการสานกลุ่มจังหวัดเพื่อให้มีการแลกเปลีย่นทิศทาง ข่าวสาร และพัฒนาการ
ที่ว่ามานี้กลุ่มนี้คงไม่ใช่ทั้งหมด หรือเป็นแม่น้ำสายที่ 6 หรือ 7,8 หรอกนะครับ แต่อาจเป็นเสมือนผู้เฝ้าติดตาม ไม่ติติง แต่จะคอยลงมือลุย ปฏิบัติ แม่น้ำสายใดตีบตัน บัวลอยแน่หนาก็จะช่วยกันเอามื้อเอาแรง เส้นใดชักเน่าเสียก็คงต้องใส่ EM เพื่อให้เกิดน้ำที่ดีและเป็นประโยชน์ที่สุดของคนไทย
เสียดายที่สุดตรงที่ไม่ได้อยู่จนจบกระบวนการ แต่ถือว่าได้ยึดกุมหัวใจสำคัญของกระบวนการเปลียนผ่านทางสังคม ได้รู้ ได้เรียน และได้ตอกย้ำว่า ชุมชนท้องถิ่น เป็นฐานรากสำคัญของการปฏิรูป การกระจายอำนาจในเชิง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องดำเนินการ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ชุมชนท้องถิ่น คน ประชาชน หรือพลเมือง เป็นหน่วยเล็กที่สุดที่ต้องเร่งเสริม เพื่อสังคมคุณภาพ ต้องการคนคุณภาพครับ เราจึงต้องมุ่งเป้าสู่การสร้าง...พลเมือง
(20.11.57 : บ้านนายออส.ลำพูน)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
ก็ยังดี
#ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...
-
เสมือนโซ่ข้อกลางที่คล้องระหว่าง กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมแห่งรัฐ ที่อดีตถูกผูกโยงกับคนไม่กี่กลุ่ม จนปัจจุบันขยายวงกว้างสู่ประชาชนมากขึ้น เพียง...
-
ความมั่นคงทางอาหารบนฐานความพอเพียง รู้จริง ทำจริง เข้าใจจริง เป็นคำพูดที่ก้องสะท้อนในใจเสมอ สำหรับการทำงานด้านความมั่นคงทางอาหาร ใช่เพียง...
-
ภาพที่ถ่ายเก็บไว้ช่วงการเดินทางอบรม นนส.หลักสูตรนักสานพลังพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ นอกจากจะได้เจอเพื่อนใหม่ สานสัมพันธ์เพื่...





















