วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของชาติ (Part 1)

 

ช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปเริ่มเบ่งบานอีกครั้ง สภาพสังคมต้องประเมินกันเป็นรายวันว่านับจากนี้จะมีการกำหนดการก้าวเดินอย่างไร จะมีวิธีการในการสร้างกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างไร ทั้งจากกลุ่มวิชาการ กลุ่มกองทัพ กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มภาครัฐ ซึ่งทุกกลุ่มหวังใจอย่างยิ่งว่าจะมีเป้าหมายเดียวกันคือ มุ่งปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง 

การตั้งธงของการปฏิรูปโดยภาครัฐ ถือเป็นการเปิดเกมส์ที่ดีที่จะทำให้การยกเครื่องประเทศไทยเดินหน้าไปได้อย่างเป็นระบบ แม้จะถูกค่อนคอดว่าเพียงแค่ปฏิรูปการเมืองไม่พอ ต้องปฎิรูปประเทศ  ฝั่งแฟนคลับอาจบอกว่ารอก่อน รัฐทำแน่ ฝั่งแอนตี้ก็บอกว่า รัฐมองแคบทำแค่พวกพ้อง ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งในการปฏิรูป หรือการสื่อสาร  หลายครั้งที่เราสื่อสารบนสารที่อยากสื่อเราสื่อสารบนอารมณ์และที่สำคัญเรารับสารเฉพาะสารที่อยากฟังเท่านั้น สังเกตุจากสองกลุ่มความคิดทางการเมืองใหญ่ ที่เมื่อเข้าไปสัมผัสเขาก็จะพูดเรื่องของเขา ฟังเรื่องของเขาและเชื่อในส่วนที่เขาอยากเชื่อปิดกั้นในสิ่งที่เขาไม่อยากให้ได้ยิน ซึ่งนั่นไม่ใช่วิถีทางแห่งประชาธิปไตยเลย แต่ก็เอาเถอะหนทางการปฏิรูปใช่จะโรยด้วยกลีกุหลาบต้องมีคนที่หลากหลายและใช้เวลาในการอธิบายเช่นกัน 

ถ้าเราคุยเรื่องการปฏิรูป แต่ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายที่สนใจน่าจะได้ลองค้นข้อมูลดูแล้ว่าอะไรคือการปฏิรูป เพราะมีหลายฐานข้อมูลเหลือเกินที่มีการสรุป วางแนวทางและเสนอต่อสังคม ไมว่าจะเป็น สามเหลี่ยมเขยื่อนภูเขา สภาพลเมือง(แห่งชาติ) การกระจายอำนาจ จังหวัดจัดการตนเอง การปรับฐานภาษี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ระบอบสุเทพเป็นผู้คิด เพราะลำพังท่านผู้นำมวลมหาประชาชน ฤ จะคิดได้  กระบวนการคิดเหล่านี้มีการถกแถลงกันนานมากแล้วไม่ตำกว่า 10 หรือ 20 ปีแน่นอนเพียงแต่ในระยะนี้หลายฝ่ายตื่นตัวกับการปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการเมือง และเท่าที่เห็นกลุ่มต่างๆที่เป็นต้นไม้แห่งปัญญาที่กระตุ้น สะกิดสังคมได้ให้ผลเป็นการตื่นที่ตัวที่มากขึ้น  เพราะกว่า 20 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนากลุ่มองค์กรทางวิชาการมากมายแต่สิ่งสำคัญที่แก้ไขปัญหาไม่ได้คือการไม่นำข้อคิดเหล่านั้นไปสู่การดำเนินการ

ไทยอาจเป็นประเทศที่แปลกที่สุดในประชาคมโลกเพราะจากจู่ๆที่จะฆ่ากัน กลับมากอดกัน และเมื่อเหมือนระฆังดังเท่านั้น ก็ย่างสามขุมเข้าใส่ มิหนะซ้ำจากประวัติการณ์ไม่มีประเทศใดเลยที่มีการประท้วงโดยประชาชนและรัฐจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ซึ่งก็คงมีแต่เรานี่กระมัง  แต่นั่นไม่ใช่สาระ สิ่งสำคัญคือนักเลือกตั้ง(ทั้งผู้ลง และผู้จัด)ต่างสนับสนุนกระบวนการเลือกตั้งว่าเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการพิสูจน์ประชาธิปไตย ต่ผมชักสงสัยว่าหากดีจริงทำไมทั้งโลกจึงวุ่นวายจากการจรจลเช่นไทยเรา ทั้งๆที่อารยะก็ต่างมาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น คำตอบหนึ่งอาจเป็นเพราะโครงสร้างที่กดทับเดิมเคยมีนักวิชาการให้ข้อสังเกตุว่าเดิมที ประชาธิปไตยแบบตัวแทนเหมาะสมสำหรับการปกครองในยุคก่อน แต่ด้วยสมัยนี้ความก้าวหน้าด้านต่างๆก้าวไกลมากบางทีเราอาจต้องถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าเราก็คงเป็นเช่นนั้น หากย้อนไปหลายร้อยปีฝรั่งเศสไม่คิดว่าระบบพลเมืองจะเรืองรุ่ง ทั้งโลกก็คงไม่มีประชาธิปไตย หากกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆในทวีปอเมริกาไม่คิดว่าเขาจะหลุดพ้นจากจักรวัตมีการปกครองในรูปแบบของตนเองได้ สหรัฐ ก็คงไม่เกิด วันนี้ไทยก็อาจกำลังก้าวเข้าสู่การพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง การเลือกตั้งอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดผู้ที่จะแทนเข้ามา แต่ผู้แทนปัจจุบันมีกฎหมายและฐานะทางสังคมที่มากล้นเหลือเกินและนี่คือสาเหตุที่ต้องมีการ"ถ่วงดุล"

การตั้งสภาประชาชน การตั้งสภาพลเมืองแห่งชาติ อาจไม่สำเร็จหากอยู่บนฐานเดิมคือการกระจุกอำนาจเพราะการบริหารปมของมันอยู่ที่ส่วนกลาง หากม๊อบสักล้านปิด กทม.ทุกอย่างเป็นอัมภาตแต่หากกระจายไป 77 จังหวัดจะต้องใช้ม๊อบกี่ล้านจึงจะทำได้ เหลือแค่คนไม่กี่พันเขาจะมีพลังเช่นนั้นหรือ และยิ่งไปกว่านั้นเป็นบ้านเขาจังหวัดเขา เขาจะทำไปทำไมการนั่งบนโต๊ะคุยในสิ่งที่เขาเรียกร้องเป็นสิ่งที่ดีกว่าสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่นี่ก็เป็นเพียงปมหนึ่งของปัญหาที่หมักหมมเอาไว้ การปฏิรูปประเทศไทยต้องทำไปพร้อมกันในหลายมิติ หากขมวดแนวทางปฏิรูปคงได้ 4 เรื่องใหญ่ และคิดว่ารัฐอาจมองในแนวทางการแก้ไปเป็นปม แต่อาจแก้ในปมทางการเมืองก่อนและเชื่อว่าเขาก็คิดถูก ก่อนจะไปแก้ที่คนอื่นต้องแก้ที่ตนเองก่อนนักการเมืองแก้ที่การเมือง ตอนนักพัฒนา(NGO)ทำงานก็แก้ที่สังคม โมเดลที่คิดว่าน่าจะทำผมเลยลำดับเป็น 4 ส่วนได้แก่ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผมเชื่อว่าขนาดของปัญหาทุกข้อล้วนครอบคลุ่ม

ในไม่ใช่รัฐจะเปิดพื้นที่เจรจา เหมือนจะทำตัวเป็นคนกลางหรือทำตัวเป็นเจ้าภาพคงต้องคอยดูกันแต่ผมเองเชื่อมันในระบบมากกว่าคน คนเป็นตัวละครสำคัญก็จริงอยู่แต่สิ่งสำคัญคือการวางบทบาท เหมือนละครที่ต้องเด่นบ้างด้อยบ้าง หากเด่นทั้งเรื่องเด่นกันทุกคน ภาพรวมจะออกมาดูดีได้อย่างไร การตัดสินใจของรัฐครัั้งนี้น่าจะส่งผลดีในอนาคตไม่ใช่สนับสนุนแนวคิดของรัฐเอาใจคนเสื้อสีหนึ่ง หรือเป็นปฏิปักต่อคนเสื้ออีกสีหนึ่งเพื่อหวังทำคะแนนหรือเอาหน้าเอาตา แต่สิ่งสำคัญคือบ้านนี้เมืองนี้ต้องเดินตามกติกา การคิดนอกกรอบย่อมทำได้แต่ต้องคิดบนกลไกที่เป็นจริง การเพ้อฝันไม่ได้ช่วยอะไรต้องมองในต้นทุนที่เรามี มองในกฎหมายมองในระเบียบที่มันพึงจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าสร้างสรรค์จึงจะเป็นไปได้ 

หลังจากนี้ผมจะพูดเรื่องการปฏิรูปมากหน่อยอย่างน้อยก็เป็นการปรับความคิดของตนเอง เหลาฝนให้คมเพื่อเตรียมเสนอผ่านเวทีที่รัฐคาดว่าจะจัดในวันที่ 15 ธค นี้ ภาคกองทัพจะจัดในวันที่ 13 หลังจากนี้คงต้องติดตามสถานการณ์เป็นวันๆไป แต่ที่สำคัญที่สุด การปฏิรูปต้องเดินหน้าต่อไปทุกวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ก็ยังดี

 #ก้าวร้อยก้าว ก็ยังดี  ช่วงนี้ ก็มีเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ว้าวุ่น ตามประสาก็คือเรื่องลูกชาย ช่วงนี้ของชีวิตเขา มีกีฬาสี ที่แต่ละปีก็จะมีเรื่อ...