หลายท่านอาจได้เห็นข่าวนี้กันแล้วผมเองก็จะจำที่มาที่ไปไม่ได้ แต่สาเหตุหลักของการถูกจำคุกคือการบุกรุกพื้นที่ของป่าสงวน พื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่กินจากรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อกรม กระทรวง หน่วยงานเข้าครอบครอง (หากเขียนให้ดูดีหน่อยคือเข้าดูแล) จริงอยู่ว่าพื้นที่เหล้านี้คือพื้นที่ของสาธารณะ แต่คนโดยรอบเขาก็ใช้ประโชน์จากพื้นที่มาก่อนเขาอยู่เขากินเขาดูแลรักษาจนนายทุนเข้าบุกรุก กระทั้่งหน่วยงานทั้งหลายเข้ามา ถามว่ากติกาสังคมที่เอามาครอบประชาชนเหมาะสมหรือไม่ คำตอบก็ถือเหมาะสมตามยุคนั้นๆ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน กฎหมายกลับไม่พัฒนาตัวมันเอง และท้ายที่สุดก็สร้างปัญหามากกว่ารักษาผลประโยชน์ของมหาชน ตามลักษณะที่มันพึ่งจะเป็น
ในบ้านเราเมืองเรามีความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมอยู่มากมาย ที่ชัดเจนที่สุดคือระบบภาษี นับตั้งแต่สมัยที่มีปฏิวัติประชาชนแต่ไม่สำเร็จเมืองแพร่(กบฏผีบุญ) เชียงใหม่(กบฎผญาผาบ) ผมไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการแข็งข้อแต่อย่างใด เพียงแต่นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ปัญหาจากการรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดจากส่วนกลาง ปล่อยให้คนที่อยู่ห่างไกลนับพันกิโล มาหลับตาและคิดว่าเราควรจะเป็นอะไรควรจะทำอะไร โดยไม่อยู่บนพื้นที่ของวิถีชีวิต
ในภาคประชาสังคมลำพูนย้อนไปปีเกือบ ยี่สิบปี มีการตื่นตัวตั้งแต่มีนิคมอุตสาหกรรมเข้ามาอนุญาตโดยรัฐ แล้วประชาชนได้อะไรเบื้องต้นคิดว่าคาดว่าเราจะเป็นแหล่งเศรษฐกิจ เป็นแหล่งทำมาหากินของคนลำพูน แต่ปัจจุบันนี้เล่า(2556) กลายเป็นพื้นที่ทำกินของคนต่างถิ่น ประชากรแฝงเข้ามาอยู่อาศัยและทำให้ปัญหาที่ยากต่อการแก้ไขเกิดขึ้นมากมาย ปัจจุบันท้องถิ่นของบ้านกลางเป็นลักษณะของเทศบาลตำบล ซึ่งแน่นอนว่าได้รับภาษีจากโรงงานเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะจัดการกับสภาพปัญหาที่เกิดจากประชากรที่มีอยู่ได้เพราะคนที่มาทำงานไม่ใช่เข้ามาเพื่อทำงานในโรงงานเดียว มีการผ่องถ่ายมีการเคลื่อนของคน ทำให้ปัญหาทั้งด้านของสิ่งแวดล้อม สังคม ปัญญาอื่นๆตามมา และตามแก้กันแถบไม่ไหว สุดท้ายประชาชนคนพื้นที่ คนลำพูนได้อะไร ????

ปัญหาโครงสร้างที่กดทับคนในภูมิภาค คนในท้องถิ่น(หมายรวมถึงคนภูธรไม่ใช่คนที่อยู่ใน อบต. เทศบาล) เป็นปัญหาที่หมักหมมคนที่อยู่ในพื้นที่ทำกินเดิมกลับใช้พื้นที่นั้นเพื่อการดำรงชีพไม่ได้ ทั้งๆที่คนดอยอยู่กับป่า คนเลอยู่กับน้ำ แต่กลับต้องขออนุญาตคนที่อยู่ศูนย์กลาง หน่วยงานกลางๆ ที่ไม่เข้าใจบริบทพื้นที่ในการให้สิทธในการอนุญาตทุกสิ่งอย่าง ทั้งการพัฒนา และการแก้ปัญหา เมื่อหมักหมมมากข้าวปลูกภาคกลางขายเองไม่ได้ ซื้อเองไม่ได้รัฐแซกแซงกลไกการค้ามากเข้ากลายเป็นสิ่งเสพติดที่ต้องปล่อยให้เสพเรื่อยๆแก้ไม่ได้ ไหนจะนโยบายประชานิยม คือสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือสิทธิที่ชาวบ้านพึงเรียกร้องมาโดยตลอด ซึ่งถือเป็นความต้องการทางตรงแต่กลับถูกผูกขาดจากลุ่มการเมือง แต่หากวันนี้การกลับปัญญาเดิมทำให้เกิดการกระจายอำนาจลงสู่อยู่ในพื้นที่ท้องถิ่น มวลมหาจราจลที่เกิดขึ้นในกลางกรุงก็จะได้ยุติและไปต่อสู้กันในพื้นที่ สู้กันด้วยเหตุด้วยผลด้วยข้อมูลประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดมีความเข้าใจมากขึ้นและน้อยนักที่จะใช้กำลังเพราะสุดท้ายแล้วนอกจะเจ็บทั้งสองฝ่าย ก็ไม่สร้างประโยชน์ใดให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะหากเชื่อและยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยต้องกระจายอำนาจเพราะนี่คือพัฒนาการอีกขั้นของประชาธิปไตย เป็นการพิสูจน์ความเข้มแข้งของประชาชนอย่างแท้จริงหากเขาสู้เขาสู้เพื่อจังหวัดของเขา ไม่ใช่การถูกหลอกให้มาเป็นมวลชนนอนกลางถนนเช่นนี้
การปฏิรูปโครงสร้างถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะมีการยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอำนาจส่วนกลางมากในการกระจายความกระจุก จะให้รวยกระจาย ในพื้นที่ซึ่งพวกเขาจะคายหรือ พวกเขาจะยอมหรือ แต่หากเรามองในภาพสังคมประชาชนอื่นๆที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ AEC หากเราไม่ปรับตัวให้ท้องถิ่นต้องรับกับปัญหาเองได้ ทุกสิ่งอย่างของปัญญาก็จะปะดังเข้ามาและรัฐ ฤ จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แทนที่รัฐจะทำให้ตัวเองเป็นเสมือนพี่ใหญ่เป็นผู้บริหารระดับประเทศไปวิ่งสร้างประโยชน์ในเวทีโลก ใช่คอยแก้ปัญหาใหญ่น้อยซึ่งนับวันก็แก้ไม่ได้ และทำให้ยุ่งยากขึ้นเรื่อยมา หรืออาจใช้อำนาจในมือเครียปัญหาใจระดับจังหวัดซึ่งรัฐย่อมมีอิทธิพลมากกว่าอยู่แล้วได้รับการยอมรับระดับชาติ เห็นโลกที่เป็นโลกทั้งใบ น้ำหนักย่อมมากกว่าและมีอิทธิพล มีความสง่างามกว่า ซึ่งนี่จะถูกปลดล๊อกหากปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ปฏิรูปประเทศไทย
4 ฐานปัญญาจริงแล้ว ฐานปัญญาหรือ ฐานอำนาจมีเพียง 2 สิ่งคือ ปัญหาการเมือง และ ปัญหาเศรษฐกิจ ผมเคยได้ฟังนักวิชาการท่านหนึ่งวิเคราะห์ให้เห็นภาพสังคมโลกและตีปัญหาใหญ่หรือฐานอำนาจใหญ่ของโลกอยู่ที่ 2 ฐานคือการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมมี การเมือง เศรษฐกิจ และทหาร สามขานี้เป็นขาสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการเมืองทุกสมัยแต่ปัจจุบันทหารมีความเข้าใจและเจ็บปวดในการปฏิวัติครั้งสุดท้ายเมื่อปี 49 และเข้าใจโลกมากขึ้นดังนั้น ฐานปัญหาอำนาจของชาติก็จะเหลือเพียงการเมืองที่ยังไม่ลงตัว ที่ยังต้องคิดต้องตัดสินใจเรื่องทั้งใหญ่ กลาง เล็ก หรือ เรื่องหยุมหยิม ณ รัฐสภาและฐานเศรษฐกิจที่กระจุกอยู่ในเพียงเขตพระนคร ในเขต กทม. คนพื้นที่เสียโอกาสได้ใช้ประโยชน์กลุ่มทุนไม่มีโอกาสได้เข้าถึงพื้นที่ที่ตนตั้งอยู่ ที่ตนสร้างปัญหาเพราะกลไกทำให้ไม่จำเป็นต้องคุยกับคนพื้นที่เพราะได้สิทธิในการบริหารองค์กรและคุยกับส่วนกลาง ทำให้โรงงานและคนพื้นที่ขัดแย้งกัน ลามให้เกิดปัญหาสังคม คนในชุมชนท้องถิ่นหมดสิทธิ ไม่มีอำนาจแม้แต่การพูดคุยเจรจากับปัญหาตรงหน้าที่เกิดขึ้น ไม่มีสิทธิในการพูดคุยกับโอกาสที่จะเข้าสู่ท้องถิ่นของตนแม้แต่จะคอยดู ขอดูรายละเอียดที่ควรจะเกิดขึ้นเช่นปัญหาจากความไม่เข้าใจในประเด็นบริหารจัดการน้ำของรัฐ และสุดท้ายการศึกษาที่มุ่งเน้นผลิตคนเข้าสู่ภาคอุตสหกรรมที่อกหักเพราะนับวันตลาดแรงงานมีมากแต่การมุ่งเน้นผลิดคนนั้นไม่สอดรับยิ่งจบมามาก ยิ่งตกงานมากผลิตคนไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ราวกับแต่ละส่วนผลิตคนไปแต่ละทิศแต่ละทางท้ายที่สุดการศึกษากลับผลิตคนเพื่อผลิต?? ไม่ได้ผลิตคนคนเพื่อสังคม เพื่อชุมชนท้องถิ่น

คิดว่าการคุยเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างยังติดค้างอีกหลายประเด็น ประเด็นสภาประชาชนผมยังไม่ได้เอ่ยถึงเลย ซึ่งผมเห็นโครงสร้างสภาประชาชนที่คุณเก๋ (Teerat Ratanasevi)นำขึ้นบนเฟสบุ๊คก็ตกใจว่าเราจะนำสภาประชาชน สภาพลเมืองไปในทิศทางที่ผิดหรือไม่ เพราะสภาประชาชนที่ประชาชนพูดไม่ใช่แบบนี้ เพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนต้องการสร้างพื้นที่ สร้างโอกาสในการพูดคุยกับภาครัฐ ราชการ ไม่ใช่พื้นที่ของฐานอำนาจ ซึ่งหลักคิดและน่าจะเรียกว่าเป็นต้นคิดที่ สภาพลเมืองเชียงใหม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นผู้กำหนดนโยบาย ร่วมวางแผนออกแบบนโยบายสาธารณะ แต่ไม่มีอำนาจเหนืออำนาจเดิมในสังคม เสมือนการออกแบบพื้นที่ให้ประชาชนและเดินคู่ขนานกันแต่ไม่ใช่เพื่อหาประโยชน์หรือเป็นฐานทางการเมืองแก่ใคร
แล้วค่อยเล่าสู่กันฟังอีกครั้งนะครับ
ปล.บทความเหล่านี้ผมตั้งใจสื่อสารให้แก่สังคม ประการหนึ่งผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ หรืองานพัฒนาที่ผมกำลังดำเนินอยู่ออกมาแบบให้ผมต้องทำงานด้านบทความ การสื่อสารผ่านอักษรมากกว่าและนี่จะเป็นประโยชน์เดียวที่ผมทั้งใจทำและทำให้ได้แก่สังคมนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น